บทที่10

คริสตจักร  THE CHURCH
    "แต่เมื่อครบกำหนดแล้ว พระเจ้าจึงทรงใช้พระบุตรของพระองค์มาให้ประสูติแต่สตรีและบังเกิดใต้พระบัญญัติ เพื่อจะทรงไถ่คนเหล่านั้นซึ่งอยู่ใต้พระบัญญัติ  เพื่อเราจะได้กลับคืนเข้าตำแหน่งเป็นบุตร" (ฆะลาเตีย 4:4-5)  พระเยซูคริสต์ได้เสด็จเข้ามาในโลกได้นำ "ข่าวประเสริฐ" เกี่ยวกับคำสัญญาไมตรีสุดท้ายที่พระเจ้าได้ทำไว้กับมนุษย์  เรื่องราวเกี่ยวกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ในชีวิตของพระเยซูเริ่มต้นตั้งแต่ การประสูติของพระเยซูสิ้นสุดลงด้วยการสิ้นพระชนม์,  การถูกฝังไว้และการเสด็จฟื้นคืนพระชนม์ เป็นสิ่งท้าทายต่อมนุษย์อย่างมากและก่อให้เกิดความขัดแย้งกับคนในศตวรรษแรก  และในศตวรรษที่ยี่สิบจนแม้กระทั่งในปัจจุบัน
    พระเยซูใช้เวลาในการสั่งสอนให้คนเป็นสาวกเป็นเวลาสามปีครึ่ง  เมื่อถึงเวลาที่พระองค์เห็นว่าพวกสาวกเหล่านี้พร้อมที่จะปฏิบัติภารกิจในการประกาศได้แล้ว  แต่เมื่อทำการสั่งสอนพบว่าภารกิจของพระองค์ไม่ได้สร้างความสงบสุขในบริเวณชายเขาที่ใกล้เคียง  พระองค์ไม่มีจุดประสงค์ที่จะทำให้สาวกเหล่านี้ "เป็นมนุษย์บริสุทธิ์วิเศษ"  ที่แยกตัวออกไปต่างหากปฏิบัติตนเป็นเหมือนผู้วิเศษที่นั่งภาวนาไปวันหนึ่งโดยไม่ได้ทำอะไร  พระองค์ได้เรียกสาวกเหล่านี้มาเพื่อให้ปฏิบัติหน้าที่เป็นเหมือนกับทหารกล้าพร้อมที่จะทำสงครามฝ่ายวิญญาณจิตต์  ต่อต้านกองทัพที่ชั่วร้าย (เอเฟโซ 6:10-17)  พระเยซูเรียกให้ออกปฏิบัติการ, เอาชนะตัวเอง รักความจริงโดยไม่มีการออมชอม  มีความร้อนรนประกอบกับความรู้  ถ้อยคำของพระองค์แก่ผู้ที่ติดตามพระองค์ คือ "พระองค์จึงเรียกร้องประชาชนกับเหล่าสาวกให้เข้ามา  แล้วตรัสแก่เขาว่า ถ้าผู้ใดจะใคร่ตามเรามา ให้ผู้นั้นเอาชนะตัวเองและรับกางเขนของตนแบกตามเรามา" (มาระโก 8:34)  มีคนเป็นอันมากได้ปฏิบัติตาม  หลังจากที่พระเยซูกลับไปสวรรค์แล้ว  การสั่งสอนยังคงดำเนินต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง  พระองค์ได้ฝึกอบรมอัครสาวกและสานุศิษย์เพื่อให้ทำภารกิจที่พระองค์ได้เริ่มไว้อย่างต่อเนื่อง  พวกเขาได้ถูกส่งออกไปประกาศพระกิตติคุณทั่วโลก  ด้วยคำเทศนาและสั่งสอนด้วยใจกล้าหาญ (มัดธาย 28:18-20) พวกเขาได้ทำการเป็นประจำทุกวันทำให้มีสาวกเพิ่มขึ้น  บรรดาสาวกที่เพิ่มขึ้นได้ถูกสั่งสอนพระคำของพระเจ้าขั้นพื้นฐานแล้วก็ส่งพวกเขาออกไปสั่งสอนผู้อื่นต่อไป
    ผลที่สาวกได้ออกไปสั่งสอน น่าอัศจรรย์เพียงแค่วันเดียวมีสาวกเพิ่มถึง 3,000 คนที่ได้เข้ามาเป็นสมาชิกของคริสตจักรเริ่มแรกจากการที่พวกเขาได้ยินอัครสาวกเปโตรสั่งสอน (กิจการ 2:41) แท้ที่จริงการเทศนาเรื่องของพระเยซูประสบความสำเร็จอย่างมากทำให้พวกศัตรูพยายามที่จะยับยั้งการเจริญเติบโตของคริสเตียนด้วยการห้ามไม่ให้มีการประกาศในที่สาธารณะ (กิจการ 4:18, 5:28)  แต่ก็ไม่สามารถยับยั้งได้  ประมาณ 2,000 ปีต่อมาหลังจากนั้นเรื่องราวแห่งไม้กางเขนของพระเยซูยังคงมีชีวิตและมีพลานุภาพรุดหน้าต่อไปโดยไม่หยุด
    ยิ่งไปกว่านั้นคริสเตียนไม่มีทางเลือก  คริสเตียนจะต้องแบ่งปันความเชื่อให้กับผู้อื่น  เพราะคุณค่าแห่งความรอดพ้นจากบาปโดยพระกรุณาคุณของพระเจ้านั้นมีมากมายเหลือล้นโดยการเสียสละของพระเยซูคริสต์เจ้าพระบุตรของพระเจ้า  เป็นข่าวประเสริฐที่มนุษย์ทุกคนควรมีโอกาสได้รับฟัง  เป็นข่าวประเสริฐที่คริสเตียนได้รับคำตรัสสั่งให้ออกไปประกาศ (มัดธาย 28:18-20, ยะเอศเคล 33:7-9)

คริสตจักรของพระคริสต์ประกอบด้วยผู้เชื่อที่รอดแล้วเป็นกายของพระองค์
CHRIST'S CHURCH IS HIS UNIQUE BODY OF SAVED BELIEVERS

    ครั้งหนึ่งพระเยซูได้ถามพวกอัครสาวกว่าประชาชนเขาคิดว่าพระองค์เป็นผู้ใด?  "คนทั้งหลายย่อมพูดว่าบุตรมนุษย์เป็นผู้ใด" (มัดธาย 16:13) พวกอัครสาวกทูลตอบว่า "ลางคนว่าเป็นโยฮันบัพติศโต ลางคนว่าเป็นเอลียานอกนั้นว่าเป็นยิระมะยาหรือเป็นคนหนึ่งแต่ในพวกศาสดาพยากรณ์" (มัดธาย 16:14)  และพระองค์ได้ถามอัครสาวกอีกคำถามหนึ่งว่า "ฝ่ายพวกท่านนี้ว่าเราเป็นผู้ใดเล่า?" (มัดธาย 16:15)  ซีโมนเปโตรตอบทันทีว่า "พระองค์เป็นพระคริสต์บุตรของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่" (มัดธาย 16:16)  พระเยซูตรัสแก่เปโตรว่า "ซีโมนบุตรโยนาเอ๋ย ท่านก็เป็นสุข เพราะว่าเนื้อและโลหิตมิได้แจ้งความนี้แก่ท่าน แต่พระบิดาของเราผู้อยู่ในสวรรค์ทรงแจ้งให้ทราบ ฝ่ายเราว่าแก่ท่านว่า ท่านคือเปโตรบนศิลานี้เราจะตั้งคริสตจักรของเราไว้  และประตูแห่งความตายจะมีชัยชนะต่อคริสตจักรนั้นหามิได้" (มัดธาย 16:17-18)
    พระเยซูได้เสด็จมาในเวลา "เมื่อครบกำหนดแล้ว"  เพื่อนำสิ่งเดียวที่มนุษย์ในโลกต้องการนับตั้งแต่คายินซึ่งเป็นฆาตกรคนแรกถึงคนเหล่านั้นที่จับพระเยซูไปตรึงไว้บนไม้กางเขน  มนุษย์ต้องการความรอดจากพระเจ้าอย่างยิ่ง  อันที่จริงตลอดทั้งประวัติศาสตร์ของประเทศยิศราเอล  พระเจ้าได้ให้คำสัญญาและได้พยากรณ์ล่วงหน้าเกี่ยวกับการตั้งอาณาจักรและกษัตริย์  คำสัญญานั้นก็คือโดยพงศ์พันธุ์ (เอกพจน์) ของดาวิด พระเจ้าจะทรงตั้ง "แผ่นดิน" และ "โบสถ์วิหาร" ของพระองค์ขึ้น (2ซามูเอล 7:11-17) คำสัญญานี้ซึ่งสำเร็จแล้วเมื่อคริสตจักรได้เริ่มต้นในกิจการ 2:29-34
    เมื่อพระเยซูได้บอกกับเปโตรว่าพระองค์จะสร้างคริสตจักรของพระองค์ไว้บน "ศิลา" พระองค์ได้ทำตามเหมือนที่ศาสดาพยากรณ์ในพระคัมภีร์เดิมได้บอกล่วงหน้าไว้หลายร้อยปีก่อน  ยะซายาได้พยากรณ์ไว้ดังนี้ว่า "เพราะเหตุนี้พระยะโอวาเจ้าจึงตรัสว่า นี่แน่ะในเมืองซีโอนนั้นเราได้วางรากแล้วโดยศิลาก้อนหนึ่งสำหรับเป็นหัวมุมอันเป็นรากฐานอันมั่นคง" (ยะซายา 28:16)  ในพระคัมภีร์ใหม่อัครสาวกเปโตรได้กล่าวถึงศิลานี้ซึ่งจะเป็นรากฐานเมื่อท่านกล่าวถึง "ท่านกำลังมาหาพระองค์นั้นเหมือนมาถึงศิลาอันมีชีวิตอยู่  ศิลานั้นมนุษย์ปฏิเสธไม่รับไว้แล้วก็จริง แต่ว่าพระดำริของพระเจ้าเป็นที่ทรงเลือกไว้และเป็นศิลาเลิศ" (1เปโตร 2:4, 7)  ที่จริงพระเยซูได้กล่าวถึงศิลาที่ถูกปฏิเสธ  ซึ่งมาจากข้อความในพระคัมภีร์เดิม ในมัดธาย 21:42, มาระโก 12:10 และลูกา 20:17  พระองค์ได้กล่าวว่า "ศิลาที่ช่างก่อได้ทิ้งเสียกลับมาเป็นศิลาหัวมุมแล้ว"  (บทเพลงสรรเสริญ 118:22)  พระองค์ได้ยกพระคัมภีร์ข้อนี้เพื่อชี้ให้เห็นผู้นำของพวกยิวที่ได้ปฏิเสธพระองค์  พระเยซูได้กล่าวไว้ชัดเจนว่า จะมีแต่คริสตจักรเดียวและคริสตจักรเดียวเท่านั้น  เปาโลได้เขียนว่าพระเยซูคริสต์ "ทรงเป็นศีรษะแห่ง พระกาย คือ คริสตจักร" (โกโลซาย 1:18)  ในเอเฟโซ 1:22 เปาโลกล่าวถึงพระเยซูว่า "พระเจ้าได้ทรงตั้งพระองค์ไว้เป็นประมุขเหนือสิ่งสารพัตรแห่ง คริสตจักร"  ดังนั้นเปาโลชี้ให้เห็นชัดว่าพระกายเดียวคือ คริสตจักร สามบทต่อมาในเอเฟโซ 4:4 เปาโลกล่าวว่า "มีกายเดียว" ประโยคนี้มีความหมายดังต่อไปนี้
    มีกายเดียว (เอเฟโซ 4:4)
    พระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของกาย (เอเฟโซ 5:23)
    ดังนั้น พระเยซูเป็นผู้ช่วยให้รอดของ กายเดียว
    และ  พระเยซูเป็นผู้ช่วยให้รอดของกายเดียว คือ คริสตจักร (เอเฟโซ 1:22-23, โกโลซาย 1:18, 24)
    ดังนั้นพระเยซูเป็นผู้ช่วยให้รอดของ คริสตจักรเดียว  พระกาย คือคริสตจักรของพระคริสต์  เป็นที่รู้จักว่าเป็น "คริสตจักรขององค์พระผู้เป็นเจ้า" (กิจการ 20:28) "คริสตจักรของพระเจ้า" (1โกรินโธ 1:2, ฆะลาเตีย 1:13) "ครอบครัวของพระเจ้า หรือ โบสถ์ของพระเจ้า" (1ติโมเธียว 3:15) "ครอบครัวของความเชื่อ" (ฆะลาเตีย 6:10) และ "แผ่นดินของพระเจ้า" (กิจการ 28:23, 31) พลไพร่ของพระเจ้าใช้นามของพระเยซูคริสต์ (กิจการ 11:26, 26:28, 1เปโตร 4:16) คริสตจักรเป็นเหมือนเจ้าสาวของพระคริสต์ (วิวรณ์ 21:2) และเป็นอาณาจักรของพระองค์ (วิวรณ์ 1:9)  ผู้เหล่านั้นที่อยู่ในคริสตจักรของพระคริสต์อันเดียวเท่านั้นจะประสบชัยชนะซาตานและความตายตลอดนิรันดร์ (1โกรินโธ 15:26, 54-56, 2ติโมเธียว 1:9-10)
    น่าเสียดายในประวัติศาสตร์เราพบว่ามนุษย์พยายามที่จะเปลี่ยนแปลงโครงการของพระเจ้าและได้เพิ่มเติมสิ่งที่ตนเชื่อเสริมเข้าไปจึงทำให้เกิดนิกายต่าง ๆ ขึ้นมากมาย   นิกายต่าง ๆ ที่พบเห็นในโลกไม่สามารถอ่านพบได้ในพระคัมภีร์  เพราะฉะนั้นนิกายต่าง ๆ เหล่านี้พระเจ้าจึงไม่ยอมรับ  นิกายมีความหมายว่า "ชนิดหรือกลุ่มที่มีชื่อโดยเฉพาะ หรือมีคำต่างกัน"  เราเรียกธนบัตรชนิดต่าง ๆ ธนบัตรใบละ1,000, ใบละ500, ใบละ100, ใบละ50 ฯลฯ  ธนบัตรเหล่านี้มีค่าต่างกัน
    พวกนิกายต่าง ๆ มองข้ามลักษณะเด่นของคริสตจักรแท้ไปเสีย  ดังนั้นพวกนิกายต่าง ๆ จึงได้ให้กำเนิดคำสอนและบทบัญญัติที่ขัดต่อคำสอนของพระคัมภีร์และขัดคำสอนซึ่งกันและกันเอง  นอกจากนั้นนิกายต่าง ๆ เหล่านี้ยังมองข้ามความสัมพันธ์ของคริสตจักรและพระเยซูว่ามีความเกี่ยวข้องกัน  ความสัมพันธ์นี้ได้บรรยายไว้อย่างสละสลวยในเอเฟโซ 5  ซึ่งอัครสาวกเปาโลได้เขียนไปถึงคริสตจักรยุคแรกว่า "เพราะว่าสามีนั้นเป็นศีรษะของภรรยา เหมือนพระคริสต์เป็นศีรษะของคริสตจักร  โดยที่พระองค์เป็นผู้ทรงช่วย (คริสตจักร) คือ ร่างกาย (ของพระองค์) ให้รอด" (เอเฟโซ 5:23)
    นิกายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมากมายเป็นสถาบันที่มนุษย์ได้ตั้งขึ้นซึ่งพระคัมภีร์และพระเจ้าไม่ยอมรับ ความจริงง่าย ๆ คือว่า แม้มาร์ติน ลูเธอร์เป็นนักปฏิรูปที่สำคัญ  แต่มาร์ติน ลูเธอร์ ไม่ได้ยอมสละชีวิตของเขาบนไม้กางเขนเพื่อตั้งคริสตจักร  เพราะฉะนั้นจะเป็นสมาชิกของนิกายทำไม  ในเมื่อใช้ชื่อคริสตจักรตามชื่อมาร์ติน ลูเธอร์ไม่ใช่ชื่อพระเยซูคริสต์  ใครตายเพื่อตั้งคริสตจักร?  คณะผู้ปกครองคริสตจักรยุคแรก (หมายถึงบรรดาผู้ปกครอง, เจ้าอธิการ, ผู้ดูแล)  ไม่ได้ยอมสละชีวิตของเขาบนไม้กางเขนเพื่อตั้งคริสตจักร  ในเมื่อพวกเขาไม่ได้ตายบนไม้กางเขน เราจะเป็นสมาชิกของนิกายทำไม?  ถ้าเช่นนั้นเราจะเป็นสมาชิกของนิกายต่าง ๆ ที่ใช้ชื่อตามผู้ก่อตั้งทำไม?  แทนที่จะใช้ชื่อเรียกตามคริสตจักรของพระบุตรของพระเจ้า  ทำไมเป็นสมาชิกของคริสตจักรที่ตั้งขึ้นโดย จอห์น เวสเลย์  ท่านผู้นี้เป็นที่รู้จักกันดีว่าเขาเน้น "วิธี" (methods)  ในการนมัสการพระเจ้า  นิกายนี้จึงกำเนิดขึ้นเรียกตัวเองว่า คณะเมธอดิสต์  ทำไมเป็นสมาชิกของนิกายที่เรียกชื่อตามคนที่ใช้ชื่อว่า "แบพติสต์"  คนกลุ่มนี้ยอมรับว่าการรับบัพติศมาที่ถูกต้องตามพระคัมภีร์คือการจุ่มมิดน้ำหรือ?
    แม้ว่าพระคัมภีร์ได้บอกล่วงหน้าเกี่ยวกับการตั้งคริสตจักรและได้บันทึกชัดเจน   เมื่อคริสตจักรของพระคริสต์ได้มาตั้งแล้ว ถ้าเช่นนั้นจะมีประโยชน์อะไรที่จะเป็นสมาชิกของ "คริสตจักรตามแบบพระคัมภีร์"  เป็นไปได้ไหมที่คนจะเป็นสมาชิกคริสตจักรที่มนุษย์ได้ตั้งขึ้น  และในเวลาเดียวกันเป็นสมาชิกที่สัตย์ซื่อในคริสตจักรของพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้า?  เป็นการสมควรหรือไม่ที่คริสเตียนควรแสวงหาที่จะเป็นสมาชิกของคริสตจักรที่ให้เกียรติและยกย่องอำนาจของพระเยซูคริสต์  เป็นสมาชิกของคริสตจักรซึ่งพระเยซูสละพระโลหิตของพระองค์เอง  คริสตจักรเป็นเหมือนเจ้าสาวพระองค์เป็นเหมือนเจ้าบ่าว  ในพระคัมภีร์คริสเตียนที่มาประชุมร่วมกันเรียกว่า "คริสตจักรของพระคริสต์" (โรม 16:16)
    ผู้ที่เป็นคริสเตียนตามแบบแผนของพระคัมภีร์ใหม่คือผู้เหล่านั้นที่ปฏิบัติตามคำสั่งของพระเจ้าเพื่อจะได้รับความรอดอย่างเคร่งครัด  จะต้องปฏิบัติตามคำสั่งของพระเจ้าอย่างตรงไปตรงมา  ในการปฏิบัติตามแบบของพระคัมภีร์ใหม่อย่างตรงไปตรงมานั้นเขาไม่ได้ "สมัครเข้าเป็นสมาชิกในนิกาย"  ซึ่งมนุษย์เป็นผู้ก่อตั้งขึ้น  ถ้าคริสตจักรเปรียบเหมือนกายและถ้ามีกายเดียว  เพราะฉะนั้นก็หมายความว่ามีคริสตจักรเดียว  บางคนคิดว่าคริสตจักรนิกายไหนก็ได้  และก็อยากเป็นสมาชิกในนิกายใดก็ได้  โดยการ "สมัครเข้าเป็นสมาชิกตามที่ตนเลือก" แต่พระเจ้าบอกว่ามี คริสตจักรเดียว  ยิ่งกว่านั้นเราไม่เป็นสมาชิกของคริสตจักร ด้วยวิธีการ "สมัครเข้าเป็นสมาชิก"  พระคัมภีร์สอนว่าเมื่อผู้ใดได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขของพระคัมภีร์  พระเจ้าเป็นผู้ทำหน้าที่ในการ "เพิ่ม" บุคคลคนนั้นเข้าไปสู่คริสตจักรเที่ยงแท้อันเดียว (กิจการ 2:47)  คริสตจักรนั้นเป็นคริสตจักรที่เรียกตามพระนามของพระบุตรของพระเจ้า

คริสตจักรของพระคริสต์ที่ประสบชัยชนะ  CHRIST'S TRIUMPHANT CHURCH
    นับตั้งแต่ที่พระเยซูได้เริ่มต้นกระทำพระราชกิจจนถึงสิ้นสุด ขณะอยู่บนโลกนี้ พระเยซูได้เตือนพวกสาวกล่วงหน้าว่า พวกเขาจะเผชิญกับการถูกข่มเหงและการขัดแย้ง  พระเยซูได้เตือนพวกเขาว่า "อย่าคิดว่าเรามาเพื่อจะให้เกิดความสงบสุขที่แผ่นดินโลก เรามิได้มาเพื่อจะให้เกิดความสงบสุข แต่เพื่อจะใช้ดาบเพราะว่าเรามาเพื่อจะให้ลูกชายหมางใจกับบิดาของตน และลูกสาวหมางใจกับมารดา และลูกสะใภ้หมางใจกับแม่ผัว และผู้ที่อยู่ร่วมเรือนเดียวกันก็จะเป็นศัตรูต่อกัน" (มัดธาย 10:34-36)  พระเยซูต้องการให้พวกสาวกของพระองค์เข้าใจชัดว่าพวกเขาจะต้องเผชิญกับการทุกข์ยากลำบากต่าง ๆ  พระองค์ได้เตือนพวกสาวกอย่างสม่ำเสมอเรื่องนี้ (มัดธาย 10:16, 39, 16:24, 24:9, โยฮัน 15:18, 20, 16:1-2, 21:18-19)  พระเยซูปรารถนาที่จะให้มีสันติสุขซึ่งกันและกัน  จุดประสงค์ที่สำคัญของพระองค์ก็คือที่จะทำให้มนุษย์มีสันติสุขเป็นไมตรีกับพระเจ้า  เปาโลได้เขียนจดหมายไปถึงคริสเตียนที่โรมว่า  "ใครผู้ใดจะให้เราทั้งหลายขาดจากความรักของพระคริสต์เล่า? จะเป็นการยากลำบาก, หรือความทุกข์ในใจ, หรือการเคี่ยวเข็ญ, หรือการกันดารอาหาร, หรือการเปลือยกาย, หรือการถูกโพยภัย, หรือการถูกคมดาบหรือ"  "แต่ว่าในเหตุการณ์ทั้งปวงเหล่านั้น เราทั้งหลายมีชัยชนะเหลือล้นโดยพระองค์ผู้ได้ทรงรักเราทั้งหลาย"  (โรม 8:35, 37-39)
    พระเยซูบอกสาวกที่ติดตามพระองค์ว่า พวกเขาจะต้องได้รับความกดดันจากพวกศาสนาอื่น ๆ (มัดธาย 10:17)  จะถูกข่มเหงจากรัฐบาลต่าง ๆ (มัดธาย 10:18) หรือแม้กระทั่งจากพวกของเขาเอง (2เธซะโลนิเก 3:1-5)  พระองค์ตรัสว่า "คนทั้งปวงจะเกลียดชังท่านเพราะนามของเรา" (มัดธาย 10:22)  ประวัติศาสตร์ได้บันทึกไว้ว่าถ้อยคำของพระเยซูได้เกิดขึ้นจริงแก่บรรดาสิทธชนยุคแรก  โดยไม่ต้องสงสัยเลยว่าสิทธชนที่สัตย์ซื่อจนถึงวันตายจะประสบชัยชนะในที่สุด (วิวรณ์ 2:10)
    การที่คริสตจักรถูกข่มเหงทั้งในอดีตและปัจจุบัน เป็นเพราะลักษณะและภารกิจของพระเยซู  "โลกจะชังท่านทั้งหลายไม่ได้ แต่ได้ชังเราเพราะเราเป็นพยานถึงการของโลกว่าเป็นการชั่ว" (โยฮัน 7:7)  คนในโลกเกลียดชังพระเยซูเพราะพระองค์ประณามความชั่วและประณามสิ่งที่คนในโลกรัก  คนในโลกเกลียดชังคริสตจักรเพราะคริสตจักรประณามคนในโลกว่าเป็นคนชั่ว  ด้วยการที่คริสตจักรใช้ชีวิตและความประพฤติค้านสายตาโลก  พระเยซูวิงวอนว่า "ถ้าโลกนี้ชังท่านทั้งหลาย ๆ ก็รู้ว่าเขาได้ชังเราก่อน" (โยฮัน 15:18)  การเกลียดชังมักตามมาด้วยการข่มเหง  คริสตจักรที่ยืนหยัดมั่นคงอยู่ในภารกิจที่แท้จริงจะ ต้องถูกคัดค้าน

มนุษย์จะนมัสการพระเจ้าอย่างไร?  HOW HUMANITY SHOULD WORSHIP GOD
    ในความสัมพันธ์ของพระเจ้าที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์  พระเจ้าได้กล่าวไว้เสมอว่าพระองค์เพียงผู้เดียวเท่านั้นที่สมควรได้รับการนมัสการ  ตอนที่พระองค์ได้ประทานพระบัญญัติ 10 ประการให้แก่ชนชาติยิศราเอล  พระองค์ได้แจ้งข้อเท็จจริงดังนี้ว่า "ผู้ได้นำเจ้าออกจากประเทศอายฆุปโต คือจากฐานะแห่งทาสนั้น อย่าได้มีพระเจ้าอื่นต่อหน้าเราเลย  อย่าทำรูปเคารพสำหรับตน เป็นสันฐานรูปสิ่งหนึ่งสิ่งใดซึ่งมีอยู่ในฟ้าอากาศเบื้องบนหรือซึ่งมีอยู่แผ่นดินเบื้องล่าง หรือซึ่งมีอยู่ในน้ำใต้แผ่นดิน อย่ากราบไหว้หรือปรนนิบัติรูปเหล่านั้น  ด้วยเราคือยะโฮวาพระเจ้าของเจ้าเป็นผู้หวงแหน  ให้โทษของบิดาที่ชังเรานั้นติดเนื่องจนถึงลูกหลานกระทั่งสามชั่วสี่ชั่วอายุคน" (เอ็กโซโด 20:2-5)
    การที่มนุษย์ควรนมัสการพระเจ้านั้นยังไม่เป็นการเพียงพอ  ตลอดมาทั้งในอดีตจนถึงปัจจุบันพระเจ้าได้ตรัสสั่งไว้อย่างชัดเจนว่าพระองค์สมควรจะได้รับการนมัสการแต่ได้บอกถึงวิธีการที่จะนมัสการพระองค์โดยถูกต้องอย่างไร?  เมื่อเราอ่านหนังสือเยเนซิศเล่มแรก  เราจะพบว่าพระเจ้าได้ตรัสสั่งไว้ว่ามนุษย์ควรจะนมัสการพระองค์โดยถูกต้องอย่างไร?  ตั้งแต่ยุคแรกของประวัติศาสตร์มนุษย์โลก  ผู้เขียนเฮ็บรายได้ยืนยันกฎเกณฑ์ในการนมัสการไว้ดังนี้ "โดยความเชื่อเฮเบลนั้นได้นำเครื่องบูชาอันประเสริฐกว่าเครื่องบูชาของคายินมาถวายแก่พระเจ้า  เพราะเหตุเครื่องบูชานั้นจึงมีพยานว่าเขาเป็นคนชอบธรรม คือพระเจ้าทรงเป็นพยานแก่ของถวายของเขา โดยความเชื่อนั้นแม้ว่าเฮเบลตายแล้วเขาก็ยังพูดอยู่" (เฮ็บราย 11:4)
    พระคัมภีร์บอกไว้ชัดเจนว่า การนมัสการของเฮเบลพระเจ้ายอมรับ ส่วนการนมัสการของคายินพระเจ้าไม่ยอมรับ  ข้อสรุปเป็นที่แน่ชัดว่า เฮเบลได้นมัสการพระเจ้าตามที่พระองค์ได้ตรัสสั่งไว้แก่ครอบครัวแรกในโลกว่าควรนมัสการพระองค์โดยถูกต้องอย่างไร  ขณะเดียวกันคายินไม่ได้ปฏิบัติตามคำตรัสสั่งดังกล่าวนั้น แต่ได้มองข้ามไป
    อีกตัวอย่างในพระคัมภีร์ที่พิสูจน์ให้เห็นว่าพระเจ้าได้กำหนดไว้อย่างชัดเจนว่าควรนมัสการพระองค์โดยถูกต้องอย่างไร  ในหนังสือเลวีติโก ซึ่งอยู่ในพระคัมภีร์เดิมได้บันทึกเรื่องราวของพี่น้องสองคนที่เป็นบุตรของอาโรน มีชื่อว่า นาดาบเป็นบุตรชายคนโต และอะบีฮูเป็นบุตรชายคนที่สอง เลวีติโกบทที่10 ได้อธิบายว่าเกิดอะไรขึ้นกับคนทั้งสอง  เมื่อทั้งสองได้นมัสการพระเจ้าตามใจของตนเอง  แทนที่จะปฏิบัติตามคำตรัสสั่งของพระเจ้า "และนาดาบและอะบีฮูบุตรชายของอาโรนทั้งสองคนเอากะถางใส่ไฟ แล้วใส่เครื่องหอมบูชาถวายต่อพระพักตร์พระยะโฮวา  ด้วยไฟอื่นที่พระองค์มิได้ตรัสสั่งให้ใช้ และมีไฟออกมาจากพระยะโฮวาเผาเอาสองคนนั้นให้ตายต่อพระพักตร์พระยะโฮวา" (เลวีติโก 10:1-2  กุญแจที่จะเข้าใจเรื่องนี้ก็คือว่าทั้งสองได้นำ "ไฟอื่น" ซึ่งพระเจ้า "ไม่ได้สั่ง" บุตรชายของอาโรนทั้งสองถึงแก่ความตายอย่างน่าสยดสยองเพราะเขาทั้งสองไม่ยอมทำตามคำตรัสสั่งเฉพาะเจาะจงอันเกี่ยวข้องกับการที่มนุษย์ควรนมัสการพระองค์ โดยถูกต้องตามคำสั่งอย่างไร?
    จากบันทึกเรื่องราวของคายินกับเฮเบลและนาดาบกับอะบีฮู  เราเรียนรู้บทเรียนอันสำคัญว่าพระเจ้าต้องการให้มนุษย์นมัสการพระองค์โดยถูกต้องตามคำสั่งอย่างไร  บทเรียนนั้นก็คือ พระเจ้าเรียกร้องให้คนมีความเข้าใจอันถูกต้อง, มีท่าทีในจิตใจที่ถูกต้อง และเชื่อฟังด้วยความเคารพยำเกรง
    พระคัมภีร์ใหม่ยกตัวอย่างที่สามารถมองเห็นได้ชัดในสามประเด็นดังกล่าวนี้ในมัดธาย 6:1-18 พระเยซูได้ประณามพวกฟาริซายที่นับถือศาสนาเป็นเหมือนการแสดงไม่ใช่จริงใจ พระองค์ตรัสว่า "ท่านจงระวังให้ดี อย่าทำความชอบธรรมของท่านต่อหน้ามนุษย์เพื่อหวังจะให้เขาเห็น  ถ้าทำอย่างนั้นท่านจะไม่ได้รับบำเหน็จแต่พระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์  เหตุฉะนั้นเมื่อทำทานอย่าเป่าแตรข้างหน้าท่านเหมือนคนหน้าซื่อใจคดกระทำในธรรมศาลาและตามถนนเพื่อจะได้ความสรรเสริญจากมนุษย์  เราบอกท่านตามจริงว่าเขาได้รับบำเหน็จของเขาแล้ว" (มัดธาย 6:1-2)  ในข้อ 5 "เมื่อท่านทั้งหลายจะอธิษฐาน อย่าเป็นเหมือนคนหน้าซื่อใจคด เพราะเขาชอบยืนอธิษฐานในธรรมศาลาและตามถนน เพื่อจะให้คนทั้งปวงเห็น เราบอกท่านตามจริงว่าเขาได้รับบำเหน็จของเขาแล้ว"  ข้อ 16 "เมื่อท่านถือศีลอดอาหาร อย่าทำหน้าเศร้าหมองเหมือนคนหน้าซื่อใจคด ด้วยเขาทำหน้าให้มอมแมมเพื่อจะให้ปรากฏแก่มนุษย์ว่าเขาถือศีลอดอาหาร เราบอกท่านตามจริงว่า เขาได้รับบำเหน็จของเขาแล้ว"  บำเหน็จของเขาก็คือมนุษย์มองเห็นได้
    พิจารณาดูพวกฟาริซายที่พระเยซูได้ยกพวกเขาเป็นตัวอย่าง  แบบที่ไม่ควรเอาตัวอย่างในการนมัสการพระเจ้า  พวกเขาแจกทาน, อธิษฐานและอดอาหาร ถ้าเขาทำในสภาพที่มีจิตใจปกติ  การกระทำของเขาพระเจ้ายอมรับ  แต่สิ่งที่พวกฟาริซายได้กระทำออกมาภายนอก พวกเขาทำด้วยเหตุผลที่ผิด คือเขาทำเพื่อ "ต้องการให้คนเห็น"  ถึงแม้ว่าการกระทำภายนอกของถูกต้อง แต่ จุดประสงค์ และ ท่าทีในใจ ของพวกฟาริซายผิด เพราะฉะนั้น พระเจ้าจึงไม่ยอมรับการนมัสการของพวกเขา
    อีกประเด็นหนึ่งซึ่งควรนำมาพิจารณาด้วย การที่คนมี ความจริงใจ  แต่เพียงอย่างเดียวก็ยังไม่ถือว่าเป็นการเพียงพอในการนมัสการที่พระเจ้ายอมรับ  ใน 2ซามูเอลบทที่ 6  มีบันทึกเรื่องของอุซา  เป็นผู้ที่ดูแลหีบคำสัญญาไมตรีของพระเจ้า  ซึ่งกำลังเคลื่อนย้ายจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง  หีบคำสัญญาไมตรี (ละเมิดคำสั่งของพระเจ้า)  บรรทุกไว้บนเกวียนเล่มใหม่  พระคัมภีร์ได้กล่าวว่า "โคได้ทำหีบนั้นให้สะเทือน"  (2ซามูเอล 6:6)  อุซาเกรงว่าหีบคำสัญญาไมตรีที่บรรทุกบนเกวียนเล่มนั้นอาจจะถูกทำลายหรือเสียหาย  อุซาจึงเอื้อมมือจับไว้เพื่อไม่ให้สะเทือน (6:6)  แต่พระเจ้าได้มีบัญญัติกำหนดไว้ว่า ผู้ที่จะสามารถสัมผัสหีบคำสัญญาไมตรีได้ต้องเป็นผู้ที่พระเจ้ากำหนดไว้  แต่อุซาไม่ใช่เป็นคนในกลุ่มนั้น (อาฤธโม 4:15) เพราะฉะนั้นทันทีที่อุซาสัมผัสหีบคำสัญญาไมตรี พระเจ้าได้สังหารให้อุซาถึงแก่ชีวิต (2ซามูเอล 6:7)
    อุซามีความจริงใจในการกระทำของเขาหรือเปล่า?  คำตอบคือ ใช่  แต่ความจริงใจของอุซาไม่มีความหมายอะไรเลยเพราะเขาละเมิดคำสั่งของพระเจ้า  โปรดสังเกตว่าพระคัมภีร์บันทึกว่า  "พระเจ้าสังหารเสียที่นั่นเพราะการผิดนั้น" (2ซามูเอล 6:7)  พระเจ้าไม่ต้องการเพียงแค่ความจริงใจเท่านั้น  พระองค์ต้องการความเชื่อฟัง  พระเยซูพระองค์เองได้ตรัสว่า  "ถ้าท่านทั้งหลายรักเราท่านก็จะประพฤติตามบัญญัติของเรา" (โยฮัน 14:15)  ยิ่งกว่านั้นหนทางขององค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นหนทางแคบ  ดังที่พระเยซูตรัสไว้ในคำเทศนาบนภูเขา (อ่านเฉพาะ มัดธาย 7:13-14) แท้ที่จริงพระเยซูตรัสว่า  "มิใช่ทุกคนที่เรียกเราว่าพระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า จะได้เข้าในเมืองสวรรค์  แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระทัยพระบิดาของเราผู้อยู่ในสวรรค์นั้นจึงจะเข้าได้" (มัดธาย 7:21)

สรุป
    ตลอดทุกยุคทุกสมัย มนุษย์ได้ต่อสู้เพื่อจะได้หลุดพ้นจากความบาป  พระเยซูได้เสด็จมาในโลกและได้ตั้งอาณาจักรฝ่ายวิญญาณจิตต์ขึ้นอันเดียวเท่านั้นที่จะช่วยให้มนุษย์หลุดพ้นจากบาปได้  และในอาณาจักรนี้ความตายไม่อาจทำลายได้  พระเยซูทรงเต็มไปด้วยความรักซึ่งประสงค์ให้ทุกคนตัดสินใจที่จะเป็นส่วนหนึ่งในอาณาจักรของพระองค์  เราจะต้องเรียนรู้จักปฏิบัติตามคำสั่งของพระเจ้า ตรงไปตรงมา และตรงไปตรงมาตามวิธีที่พระองค์ได้ตรัสสั่งไว้เท่านั้น  ไม่มีอะไรมาทดแทนการเชื่อฟังพระบัญญัติของพระเจ้าไปได้  ความจริงใจ หรือความปรารถนาดีก็ยังไม่เพียงพอ  ผู้เหล่านั้นที่เชื่อฟังพระเจ้าเพราะมีความเข้าใจ มีท่าทีในใจอันถูกต้อง  และมีดวงวิญญาณด้วยความถ่อมสุภาพจะเป็นที่ยอมรับของพระเจ้า  พระเยซูรักมนุษย์ทุกคน  แต่พระองค์จะช่วยคนเหล่านั้นที่เชื่อฟังตามพระคำของพระเจ้าเท่านั้นให้รอดพ้นจากบาป และพระเจ้าจะทรงเพิ่มผู้เหล่านั้นที่รอดแล้วเข้าสู่คริสตจักรซึ่งพระเยซูได้ทรงซื้อด้วยพระโลหิตของพระองค์

ตอบคำถาม คลิกที่นี่  https://docs.google.com/forms/d/1e_-J2ONud_DKz1DGcQNOTYxXaeNhAZ4eb1DYw0vfclM/viewform