การดลใจของพระคัมภีร์  
THE INSPIRATION OF THE BIBLE
   
ในบทเรียนบทที่ 7 เราได้ศึกษาว่าพระคัมภีร์ทั้ง
66 เล่มแบ่งออกเป็นสองส่วนใหญ่ ๆ 
คือพระคัมภีร์เดิมและพระคัมภีร์ใหม่  
เราเรียนรู้ว่าพระคัมภีร์ทั้งหมดมีความสอดคล้องกันอย่างสมบูรณ์ที่สุดในการบอกเล่าเรื่อง 
ๆ 
เดียวก็คือการที่มนุษย์พลาดล้มลงในความบาปและความรอดพ้นจากความบาปโดยการสิ้นพระชนม์และการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์เจ้า  
คำถามที่เราต้องการคำตอบในบทเรียนนี้ก็คือ 
พระคัมภีร์มีความแตกต่างจากหนังสืออื่น ๆ ในโลกอย่างไร?
พระคัมภีร์เป็นพระคำที่ได้รับการดลใจจากพระเจ้า
THE BIBLE 
IS INSPIRED WORD OF GOD
   
เหตุผลที่พระคัมภีร์ไม่เหมือนกับหนังสืออื่น ๆ 
ในโลกก็เพราะว่าพระคัมภีร์เล่มเดียวเท่านั้นที่ได้รับการดลใจโดยพระเจ้า  
เมื่อเราพูดว่าพระคัมภีร์ได้รับการ "ดลใจ" เราหมายความว่าอย่างไร?  
คำว่าดลใจในภาษาอังกฤษมาจากคำว่า "inspire"  
มาจากภาษาละตินจากคำว่า "inspirare" ซึ่งหมายความว่า 
"การระบายลมหายใจเข้า"  พระคัมภีร์เป็นพระคำของพระเจ้าก็เพราะว่าพระองค์ 
"ได้ระบายลมหายใจเข้า"   
ในการเขียนพระคัมภีร์เพื่อให้มีเนื้อหาสาระตามที่พระองค์ทรงประสงค์เพราะพระคัมภีร์ 
"ได้รับการระบายลมหายใจ" จากพระเจ้า (2 ติโมเธียว3:16-17 
ประสาทให้หรือดลใจให้)  
ดังนั้นพระคัมภีร์ในฉบับดั้งเดิมจึงปลอดจากความบกพร่องใด ๆ ทั้งสิ้น  
แม้ว่าพระคัมภีร์ไม่ได้อ้างว่าเป็นตำราทางประวัติศาสตร์, ตำราวิทยาศาสตร์, 
หรือคณิตศาสตร์  อย่างไรก็ตามเมื่อพระคัมภีร์กล่าวเกี่ยวข้องกับศาสตร์เหล่านี้  
ผู้เขียนเหล่านั้นไม่ได้เขียนผิดพลาดสิ่งใด  
แต่พวกเขาได้เขียนถูกต้องตามความจริงเสมอ
    
ไม่มีประโยชน์อะไรที่เราจะพูดเฉย ๆ ว่า พระคัมภีร์ได้รับการดลใจ 
เว้นไว้แต่ว่าเรามีข้อเสนอให้เห็นเพื่อเป็นการพิสูจน์ว่าพระคัมภีร์ได้รับการดลใจ 
(โปรดระลึกถึงกฎของการหาเหตุผลในการค้นหาความจริง Law of 
Rationality  นำมากล่าวไว้ในบทที่ 3)  
หลักฐานที่จะพิสูจน์ว่าพระคัมภีร์ได้รับการดลใจมีเหตุผลใหญ่ ๆ สองประการ คือ 
หลักฐานภายนอก (External) 
ที่จะพิสูจน์ว่าพระคัมภีร์ได้รับการดลใจจากพระเจ้า เช่น ชื่อของบุคคลต่าง ๆ 
ในพระคัมภีร์ที่ปรากฏจริงในประวัติศาสตร์  สถานที่ และเหตุการณ์ต่าง ๆ 
รวมทั้งชิ้นส่วนวัตถุทางโบราณคดีที่ได้พบสนับสนุนพระคัมภีร์  หลักฐานภายใน
(Internal)  เป็นหลักฐานที่มาจากภายในพระคัมภีร์เองซึ่งรวมทั้งใจความในพระคัมภีร์ที่แสดงให้เห็นว่าข้อพระคำเหล่านี้ไม่สามารถอธิบายเป็นอย่างอื่น  
นอกจากที่จะยอมรับว่านี่เป็นผลผลิตที่เกิดจากการทรงนำจากพระเจ้า  
(ความสอดคล้องกันเป็นอันหนึ่งอันเดียวตามที่อภิปรายไว้ในบทที่ 7
เป็นตัวอย่างที่สนับสนุนหลักฐานภายในได้เป็นอย่างดี)
ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับความแม่นยำของพระคัมภีร์
THE FACTUAL 
ACCURACY OF THE BIBLE
    
พระคัมภีร์ประกาศตัวเองว่าเป็น พระคำที่ได้รับการดลใจจากพระเจ้า  
เพราะฉะนั้นไม่ว่าพระคัมภีร์กล่าวเรื่องใด ๆ 
ก็จะต้องมีความแม่นยำทั้งสิ้นเพราะพระเจ้าทรงทราบทุกสิ่ง 
(1โยฮัน 3:20) ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับความแม่นยำของพระคัมภีร์ยืนยันว่าได้รับการดลใจ  
ครั้งแล้วครั้งเล่าข้อเท็จจริงของพระคัมภีร์สามารถผ่านการทดสอบอย่างโชกโชนซึ่งสามารถเห็นตัวอย่างมากมายที่ปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์
    
ในอดีตเคยมีผู้คัดค้านว่าศาสดาพยากรณ์ยะซายาได้เขียนผิด ๆ 
เมื่อท่านได้กล่าวถึงบุคคลในประวัติศาสตร์คือ Sargon (ซาร์กอน) 
กษัตริย์องค์หนึ่งของประเทศอะซีเรีย (ยะซายา 20:1) 
เป็นเวลาหลายปีข้อเท็จจริงที่บันทึกไว้โดยยะซายาเป็นแต่เพียงหลักฐานประกอบพระคัมภีร์และประวัติศาสตร์โลกว่า 
กษัตริย์ซาร์กอนมีความสำคัญเชื่อมโยงกับประเทศอะซีเรีย 
ดังนั้นผู้คัดค้านพระคัมภีร์จึงเหมาะเอาว่ายะซายาผิดพลาด แต่ในปี ค.ศ.1843
Paul Emile Botta ผู้เป็นอัครทูตที่ 
Mosul ได้ประสานงานกับ Austen Layard 
ได้ทำการขุดพบหลักฐานทางประวัติศาสตร์ซึ่งเป็นการยืนยันอย่างชัดเจนว่า
Sargon เป็นกษัตริย์ของประเทศอะซีเรียจริงตามที่ยะซายาได้บันทึกไว้ที่เมือง
Khorsabad ท่าน Botta 
ได้ค้นพบพระราชวังของ Sargon 
ภาพจาการค้นพบสิ่งเหล่านี้สามารถพบได้ในหนังสือคู่มือพระคัมภีร์  
สรุปว่าสิ่งที่ท่านยะซายาได้บันทึกไว้เป็นความจริงตลอดเวลา 
ส่วนพวกที่ชอบคัดค้านได้ผิดตลอดเวลา
    ในพระคริสตธรรมคัมภีร์ใหม่ได้บันทึกชื่อประเทศต่าง 
ๆ มากกว่า 45 ประเทศ (และยังกล่าวถึงเมืองต่าง ๆ อีกมาก)  
ชื่อประเทศและชื่อเมืองต่าง ๆ เหล่านี้ที่พระคัมภีร์ได้กล่าวถึงปรากฏว่า 
ตั้งอยู่ตรงจุดภูมิศาสตร์ตามความเป็นจริงโดยไม่คลาดเคลื่อน 
อันที่จริงเมื่อใดก็ตามที่มีการตรวจสอบพระคัมภีร์ 
เมื่อนั้นพระคัมภีร์สามารถผ่านการทดสอบได้ ตัวอย่างเช่น 
มีนักโบราณคดีผู้มีชื่อเสียงในศตวรรษที่ผ่านมาชื่อ Sir William 
Ramsay ซึ่งไม่เชื่อเหตุการณ์ต่าง ๆ 
ที่นายแพทย์ลูกาได้บันทึกไว้ในหนังสือกิจการ  Ramsay 
เชื่อว่าสิ่งที่นายแพทย์ลูกาได้บันทึกไว้เป็นเรื่องที่สมมุติขึ้นในศตวรรษที่สอง 
ซึ่งภายหลัง Ramsay กับทีมงานใช้เวลาขุดหลักฐานต่าง ๆ 
ตามบริเวณ Asia minor ซึ่งใช้เวลาขุดกันจริง ๆ จัง ๆ 
ตรงบริเวณดังกล่าวอยู่หลายปีในที่สุด Ramsay 
ได้สรุปว่านายแพทย์ลูกาอัจฉริยะจริง ๆ และเป็นนักประวัติศาสตร์ที่ไม่ธรรมดา หลังจาก
Ramsay 
ได้ทำการค้นพบแล้วนักวิชาการคนอื่นหลังจากนั้นยี่สิบปีได้ลงความเห็นว่าเบื้องหลังประวัติศาสตร์ของพระคัมภีร์ใหม่โดยนายแพทย์ลูกาเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงในยุคนั้นจริง 
ๆ
คำพยากรณ์ของพระคัมภีร์  THE PROPHECY OF THE BIBLE
   
วิธีหนึ่งที่จะพิสูจน์ให้เห็นว่าพระคัมภีร์ได้รับการดลใจก็คือการแสดงให้เห็นว่าข้อเท็จจริงต่าง 
ๆ 
ที่ตรวจสอบเหล่านั้นถูกต้องอีกวิธีหนึ่งที่จะพิสูจน์ว่าพระคัมภีร์ได้รับการดลใจก็คือแสดงให้เห็นว่าคำพยากรณ์เกี่ยวกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตเหล่านั้นถูกต้อง  ความประทับใจที่สำคัญที่สุดจากหลักฐานภายในที่พิสูจน์ให้เห็นการดลใจของพระคัมภีร์ก็คือคำพยากรณ์ล่วงหน้าต่าง 
ๆ เหล่านั้นสำเร็จทั้งหมด  
ถ้าพระคัมภีร์ได้รับการดลใจจากพระเจ้าก็ควรจะประกอบด้วยเนื้อหาคำพยากรณ์ที่สำเร็จ  อันที่จริงคำพยากรณ์ในพระคัมภีร์ได้พยากรณ์ล่วงหน้าอย่างละเอียดถี่ยิบและประสบความสำเร็จแม่นยำอย่างตรงที่สุดซึ่งเป็นข้อกังขาของนักสงสัยที่คัดค้านมาเป็นเวลานานหลายชั่วอายุ  
พระคัมภีร์มีคำพยากรณ์มากมายที่เกี่ยวกับบุคคล เกี่ยวกับประเทศ เกี่ยวกับเมือง 
รวมทั้งคำพยากรณ์ล่วงหน้าเกี่ยวกับการเสด็จมาของพระมาซีฮา
    
การที่คำพยากรณ์จะประสบความสำเร็จจะต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์  ประการแรก
: 
ต้องมีความเจาะจงบอกรายละเอียดไว้อย่างจะแจ้งไม่ใช่บอกคลุมเครือหรือพูดกว้าง ๆ   
ประการที่สอง : 
จะต้องมีเวลาห่างมากสมควรระหว่างคำพยากรณ์กับเวลาที่จะประสบความสำเร็จเพื่อไม่ให้ผู้พยากรณ์ใช้ความสามารถของตนใช้อิทธิพลครอบงำสิ่งที่จะเกิดขึ้น  
ประการที่สาม : คำพยากรณ์จะต้องบอกชัดเจนเป็นใจความที่เข้าใจได้  
ประการที่สี่ : 
คำพยากรณ์จะต้องไม่เป็นประวัติศาสตร์ที่ได้เกิดขึ้นแล้ว หรือพูดให้เข้าใจเสียใหม่ 
คำพยากรณ์จะต้องไม่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตที่เกี่ยวกับสภาวะเศรษฐกิจและสังคม  
ประการที่ห้า : คำพยากรณ์นั้น ๆ จะต้องสำเร็จอย่างชัดเจนตรงไปตรงมา 
และเป็นที่เข้าใจได้  ไม่ใช่เพียงแต่แนะว่าเหตุการณ์ข้างหน้าอาจจะเกิดขึ้นจริง  
"มีความเป็นไปได้สูง"  อย่างนี้ใช้ไม่ได้  
คำพยากรณ์ที่สำเร็จตามความเป็นจริงจะไม่ผิดพลาดและมีความสัมพันธ์กับคำพยากรณ์อย่างละเอียดมีคำถามเกิดขึ้นสองคำถาม  
(1) พระคัมภีร์มีคำพยากรณ์ทำนายล่วงหน้าหรือไม่?  และ (2) 
ถ้ามีคำพยากรณ์ที่ทำนายล่วงหน้าสามารถพิสูจน์เป็นความจริงได้ไหม?  
คำตอบของคำถามทั้งสองข้อคือ "ใช่"  
พระคัมภีร์มีคำพยากรณ์ที่ประสบความสำเร็จตามคำทำนายอย่างแม่นยำอย่างสมบูรณ์แบบทุกครั้งโดยไม่ผิดพลาด  
โปรดพิจารณาดูตัวอย่างพอสังเขปดังต่อไปนี้
    
ในพระคัมภีร์มีคำพยากรณ์มากเกี่ยวกับประเทศและเมืองต่าง ๆ  
ที่รุ่งเรืองขึ้นและล่มจมไป  ตัวอย่างเช่นในหนังสือ ยะเอศเคล 26:1-4 
พระคัมภีร์ได้พยากรณ์ล่วงหน้าเกี่ยวกับความพินาศของเมืองตุโร (Tyre)  
และประสบความสำเร็จอย่างแม่นยำ  ผู้พยากรณ์ยะเอศเคลได้ทำนายว่ากษัตริย์นะบูคัศเนซัร
(Nebuchadnezzar)  
กษัตริย์แห่งบาบิโลนจะทำลายเมืองตุโร (ยะเอศเคล 26:7-8) 
หลายประเทศจะมาต่อสู้กับเมืองตุโร (26:3) เมืองนี้จะถูกทำลายทิ้งลงในทะเล (26:12)  
บริเวณรอบแถบนั้นจะกลายเป็นที่ตากอวนของชาวประมง (26:5) 
และประการสุดท้ายเมืองตุโรจะไม่มีผู้ใดสร้างขึ้นใหม่ให้สง่างามเหมือนเดิมได้อีก 
(26:14) ประวัติศาสตร์ได้เปิดเผยให้เราทราบว่า 
คำพยากรณ์ทุกประการเหล่านี้ประสบความสำเร็จ  
เมืองตุโรเป็นเมืองที่ติดกับชายฝั่งทะเลเป็นเมืองในสมัยโบราณซึ่งถูกสร้างขึ้นค่อนข้างพิเศษไม่ธรรมดา  
มีเมืองที่ตั้งอยู่บนฝั่งและยังมีอีกเมืองหนึ่งซึ่งสร้างอยู่บนเกาะห่างจากเมืองที่ตั้งอยู่บนฝั่งไปประมาณ 
1 กิโลเมตร  นะบูคัศเนซัรได้มาล้อมเมืองที่อยู่บนฝั่งเมื่อปี 586
B.C.  
และในที่สุดได้ยึดเมืองที่ตั้งอยู่บนฝั่งได้ในปี 573 B.C.
 ชัยชนะของนะบูคัศเนซัรได้แต่เมืองที่ว่างเปล่า  
เพราะเขาไม่รู้ว่าชาวเมืองที่อยู่บนฝั่งได้อพยพหนีไปยังเมืองที่อยู่บนเกาะ 
สถานการณ์ยังคงดำรงอยู่อย่างนั้นโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงเป็นเวลาต่อจากนั้นอีก 
241 ปี จนกระทั่งปี 332 B.C. อเล็กซานเดอร์มหาราชได้ตีเมืองและเอาชนะได้ด้วยความยากลำบาก  
ที่จะให้กองทัพไปถึงเมืองที่ตั้งอยู่บนเกาะ อเล็กซานเดอร์เกณฑ์ทหารให้กวาดเศษวัสุดต่าง 
ๆ "จนเกลี้ยง" จากเมืองที่ตั้งอยู่บนฝั่งแล้วนำเอาเศษวัสดุเหล่านั้น (หิน ไม้ 
และดิน) สร้างเป็น "ทางเชื่อม" ไปถึงเมืองที่ตั้งอยู่บนเกาะ  แม้ว่าอเล็กซานเดอร์จะทำให้เมืองตุโรที่ตั้งอยู่บนเกาะได้รับความเสียหายย่อยยับ  
แต่เมืองนั้นก็ยังคงตั้งอยู่ได้  
แท้จริงเมืองนั้นยังตั่งมั่นและค่อยเสื่อมโทรมอยู่จนเป็นเวลา 1600 ปี 
หลังจากนั้นจนกระทั่งในปี ค.ศ. 1291 กองทัพมุสลิมได้ทำลายเมืองตุโรอย่างราบคาบ  
ตั้งแต่นั้นมาเมืองตุโรไม่สามารถฟื้นสถานะภาพของประเทศที่มั่นคงและเกรียงไกรได้อีกเลย  
ผู้พยากรณ์ยะเอศเคลได้พยากรณ์ล่วงหน้าเป็นเวลา 1900 ปี 
ว่าเมืองตุโรจะพินาศล่มจมและกลายเป็นเมืองร้างและเป็นที่ตากอวนของชาวประมงและได้เกิดขึ้นจริงตามที่ประวัติศาสตร์ได้บันทึกเอาไว้
    
พระคัมภีร์เดิมยังประกอบด้วยคำพยากรณ์เกี่ยวกับการเสด็จมาของ พระมาซีฮา 
มากกว่าสามร้อยรายการ  คำพยากรณ์เกี่ยวกับ พระมาซีฮา 
ก็คือคำพยากรณ์เกี่ยวกับการเสด็จมาของ พระผู้ช่วยให้รอด  
คำพยากรณ์เหล่านี้ได้เขียนล่วงหน้าบอกให้โลกรู้ล่วงหน้าเกี่ยวกับการมาของผู้ที่จะช่วยให้มนุษย์หลุดพ้นจากความบาป  
คำพยากรณ์เกี่ยวกับพระมาซีฮากล่าวว่า  
เขาผู้นั้นจะเป็นที่ดูหมิ่นและเป็นคนเจ้าทุกข์ (ยะซายา 53:3) และถูกทรยศโดยสหายสนิท 
(บทเพลงสรรเสริญ 41:9) ด้วยเงินสามสิบแผ่น (ซะคาระยา 11:12) 
สิ่งที่ได้ทำนายไว้ก็เป็นตามความจริงทุกประการ (โยฮัน 13:18, มัดธาย 26:15)  
พระองค์ผู้นั้นจะถูกถ่มน้ำลายรดและจะถูกโบยตี (ยะซายา 50:6, 53:5) 
ตอนที่พระองค์สิ้นพระชนม์เขาจะตรึงตะปูที่เท้าและที่มือของพระองค์ (บทเพลงสรรเสริญ 
22:16-17) แต่กระดูกของพระองค์จะไม่หักเมื่อถูกตรึง (บทเพลงสรรเสริญ 34:20, โยอัน 
19:33) ร่างกายของพระองค์จะไม่เปื่อยเน่าเพราะพระองค์จะเป็นขึ้นจากตาย 
(บทเพลงสรรเสริญ 16:10, กิจการ 2:22-24)  แล้วพระองค์จะเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ 
(บทเพลงสรรเสริญ 16:10, กิจการ 2:22-24)
    
คำพยากรณ์เหล่านี้ได้เขียนไว้เป็นเวลาหลายร้อยปีล่วงหน้าก่อนที่จะเป็นจริง 
พระเยซูคริสต์ได้เสด็จมาทำให้คำพยากรณ์ต่าง ๆ เหล่านั้นประสบความสำเร็จอย่างละเอียดทุกประการ 
ได้สถาปนาพระองค์ให้เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของโลกซึ่งพิสูจน์ให้เห็นว่าพระคัมภีร์เป็นหนังสือที่ได้รับการดลใจจากพระเจ้า 
ครั้งแล้วครั้งเล่าที่พระคัมภีร์ได้พยากรณ์ล่วงหน้าเอาไว้ 
คำพยากรณ์เหล่านั้นสำเร็จตามความเป็นจริงอย่างละเอียดถี่ถ้วน  ยิระมะยาได้เขียนไว้ว่า 
"ครั้นเมื่อคำทำนายจะสำเร็จถูกต้องแล้วผู้ทำนายคนนั้นและคนทั้งปวงจะได้รู้ว่าพระยะโฮวาได้ใช้เขาจริง" 
(ยิระมะยา 28:9)  
พระคัมภีร์เป็นหนังสือเล่มเดียวเท่านั้นที่ประกอบด้วยคำพยากรณ์มากมายที่ทำนายล่วงหน้า  
พระเจ้าแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้นที่สามารถบอกเรื่องที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้  
ถ้าพระคัมภีร์สามารถพยากรณ์อนาคตได้สำเร็จแม่นยำ (ซึ่งได้เห็นเป็นจริงแล้ว) 
ผู้ประพันธ์ต้องเป็นพระเจ้าแน่นอน
ความรู้ล่วงหน้าเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ของพระคัมภีร์
THE 
SCIENTIFIC FOREKNOWLEDGE OF THE BIBLE
   
ข้อพิสูจน์อีกประการหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่าพระคัมภีร์ได้รับการดลใจนั่นก็คือ 
ความรู้ล่วงหน้าเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ที่มีความเป็นเอกลักษณ์พิเศษนับตั้งแต่วิชาวิทยาศาสตร์ด้านมนุษย์วิทยาไปจนถึงสัตว์ศาสตร์  
พระคัมภีร์ได้เสนอรายละเอียดเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์อันแม่นยำซึ่งโดยลำพังมนุษย์แล้วพวกเขาไม่สามารถล่วงรู้ได้  
จากสาขาวิชาสมุทรศาสตร์ From the field of Oceanography 
นานมาแล้วกษัตริย์ซะโลโมเขียนว่า "บรรดาแม่น้ำทั้งหลายไหลลงไปสู่ทะเล 
กระนั้นทะเลก็ไม่รู้จักเต็ม ถึงแม้ว่าแม่น้ำทั้งหลายจะไหลลงไปแล้วไหลลงไปอีก" 
(ท่านผู้ประกาศ 1:7)  ประโยคนี้เมื่อพิจารณาดูเผิน ๆ ดูไม่มีความหมายอะไร  
แต่ถ้าจะพิจารณาให้ลึกพร้อมกับหลักฐานจากพระคัมภีร์ข้ออื่น ๆ ยิ่งทำให้น่าทึ่งมาก  
ตัวอย่างเช่น แม่น้ำมิสซิสซิปปี้  
ถ้าไหลไปตามปกติน้ำจะไหลลงไปสู่อ่าวเม็กซิโกประมาณ 6,052,500
แกลลอนต่อหนึ่งวินาที  นี่แค่แม่น้ำแต่เพียง แม่น้ำเดียวเท่านั้น  
น้ำทั้งหมดไหลไปที่ไหน?  
คำตอบก็คือเป็นไปตามวงจรของอุทกศาสตร์ตามที่พระคัมภีร์ได้กล่าวไว้ ท่านผู้ประกาศ 
11:3  กล่าวว่า "ถ้าเมฆเต็มไปด้วยน้ำ มันจะเทฝนให้ตกลงบนพื้นพสุธา"  อาโมศ 
9:6 กล่าวว่า "ผู้ที่เรียกน้ำในทะเลแลเทน้ำนั้นลงบนพื้นแผ่นดิน 
พระยะโฮวาเป็นพระนามของพระองค์"  
ความเข้าใจเกี่ยวกับการหมุนเวียนของน้ำที่กลายเป็นไอ  
ยังไม่เป็นที่เข้าใจกระจ่างชัดในสมัยโบราณ  จนถึงศรวรรษที่สิบหกและศตวรรษที่สิบเจ็ด  
พระคัมภีร์ได้กล่าวล่วงหน้าเกี่ยวกับวงจรการหมุนเวียนของน้ำมากกว่า 2,000 ปี 
เป็นไปได้อย่างไร?
    พระเจ้าสั่งให้โนฮา (เยเนซิศ 
6:15) ต่อนาวาใหม่มีรายละเอียดดังนี้  ยาว 75 วา (300 ศอก) กว้าง 12 วา 2 ศอก 
(50 ศอก) และสูง 7 วา 2 ศอก (30 ศอก) อัตราส่วนคือ ยาว 30 ส่วน  กว้าง 5 ส่วน  
และสูง 3 ส่วน  นาวาของโนฮานับว่าเป็นเรือที่ใหญ่ที่สุดที่มีบันทึกไว้จนถึง 
ค.ศ. 1858 ใช้มาตราส่วนของความยาวโดยใกล้เคียงที่สุดของความยาว หนึ่งศอก (17 1/2 
ถึง 18 นิ้ว)  ด้วยมาตราส่วนดังกล่าวเรือของโนฮายาวประมาณ 450 ฟุต 
(ประมาณสนามฟุตบอลสนามครึ่ง)  และจะมีพื้นที่ประมาณ 1.5 ล้านตารางฟุต  
ในปี ค.ศ. 1844 Isambard K. Brunnel 
ได้สร้างเรือขึ้นซึ่งขนาดมหึมามีชื่อว่า The Great Britain
ท่านผู้นี้ได้สร้างเรือโดยใช้อัตราส่วนการสร้างของเรือโนฮา คือ 30:5:3
ผลปรากฏว่ามิตินี้เป็นอัตราส่วนในการสร้างที่สมบูรณ์แบบที่สุดในการสร้างเรือที่มีขนาดมหึมาที่สร้างขึ้นเพื่อลอยน้ำไม่ใช่เพื่อแล่นไปข้างหน้าด้วยความเร็ว  
เป็นที่แน่ชัดว่าเรือของโนฮาได้สร้างขึ้น  ไม่ใช่แล่นด้วยความเร็วไปข้างหน้า  
เพราะโนฮาไม่จำเป็นต้องไปที่ไหน  
อันที่จริงช่างต่อเรือระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ได้ใช้อัตราส่วน 30:5:3
ในการสร้างเรือขนาดใหญ่มีชื่อว่า The Ugly Duckling
(เป็ดขี้เหร่)  เรือลอยน้ำสามารถบรรจุสินค้าได้เป็นจำนวนมาก  
และเป็นเรือที่มีอัตราส่วนเดียวกันกับเรือของโนฮา  คำถาม 
โนฮารู้จักอัตราส่วนในการต่อนาวาได้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุดได้อย่างไร? 
Brunnel และช่างต่อเรือคนอื่น ๆ 
ต้องใช้ประสบการณ์หลายปีในการสร้างเรือกว่าจะได้สูตรนี้ 
แต่โนฮาเป็นบุคคลแรกที่มีความรู้ในการต่อนาวาได้เป็นอย่างดี  
โนฮาได้ความรู้มาจากไหน?  
คำตอบคือโนฮาได้ความรู้มาจากพระเจ้านายช่างผู้ยิ่งใหญ่
จากวิชาสาขาฟิสิกส์
 From the Field of Physics
   
โมเซได้กล่าวว่า "ฟ้าและดินและสรรพสัตว์สรรพสิ่งที่มีอยู่ในที่เหล่านั้นพระเจ้าได้ทรงสร้างให้สำเร็จดังนี้แหละ" (เยเนซิศ 
2:1)  ประโยคนี้เป็นคำพูดที่น่าสนใจเป็นพิเศษ เพราะโมเซเลือกใช้คำในภาษาเฮ็บรายเพื่อใช้เป็นคำกริยาในอดีตที่บ่งให้เห็นว่า 
"การสร้างเสร็จสิ้นแล้ว"  
เนื้อความนี้มีจุดประสงค์ต้องการชี้ให้เห็นว่าการสร้างได้สำเร็จเสร็จสิ้นไปแล้วในอดีต  
ซึ่งตรงกันข้ามกับความหมายที่ว่ามีการสร้างที่ดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่องในอนาคต  
โมเซต้องการบ่งให้เห็นชัดเจนว่าการสร้างของพระเจ้า "เสร็จแล้ว"  
เสร็จไปเลยโดยไม่ต้องมีอะไรอีก  นี่คือเป็นประโยคเดียวกับกฎของ
First Law of Thermodynamics (กฎความร้อนข้อที่ 1) 
กฎนี้บ่อยครั้งเรียกว่า กฎการอนุรักษ์พลังงาน/สสาร  กล่าวว่า 
สสารและพลังงานไม่สามารถถูกสร้างขึ้นหรือถูกทำลายได้
    ข้อพระคัมภีร์สามแห่ง 
(เฮ็บราย 1:11, ยะซายา 51:6, บทเพลงสรรเสริญ 102:26) 
ข้อเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าโลกของเราเป็นเหมือนเสื้อผ้าที่กำลังเสื่อมสลายไป 
นี่เป็นใจความเดียวกับที่กฎ Second Law of Thermodynamics
(กฎความร้อนข้อที่สอง) ได้กล่าวไว้ กฎนี้เป็นที่รู้จักดีว่าเป็นกฎ
Law of increasing Entropy 
(กฎการเพิ่มอัตราการเสื่อมโทรม) กฎนี้ควบคุมกระบวนการต่าง ๆ โดยไม่มีข้อยกเว้น 
คำว่า Entropy 
เป็นภาษาวิทยาศาสตร์ซึ่งหมายความว่าทุกสิ่งกำลังเสื่อมสลาย  
พลังงานที่ใช้กำลังเหลือน้อย  การเสื่อมสลาย การไม่มีระเบียบ 
หรือการไม่มีโครงสร้าง จะมีอัตราเพิ่มสูงขึ้น  พูดให้เข้าใจง่าย ๆ 
ก็คือว่าเหมือนดอกไม้ที่เบิกบาน แล้วเหี่ยวแห้ง และก็ตายไป  
เด็กทารกเติบโตเป็นวัยรุ่น  วัยรุ่นเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ชราและตายไปในที่สุด  
ภายใน 250 ปีบ้านที่เราสร้างขึ้นวันนี้จะพังลง  ภายใน 40-45 
ปีรถที่เราซื้อวันนี้จะเก่าเป็นสนิม  ทุกสิ่งกำลังถดถอยลง 
ทุกสิ่งกำลังเสื่อมสลาย  พลังงานเริ่มมีลดน้อยลงในที่สุด (พูดตามทฤษฎี) 
จะเหลือแค่จักรวาลซึ่งจะมีการเสื่อมสลายมากถึงจุดที่เรียกว่า 
"heat death" (ความร้อนตาย)  
เนื่องจากไม่มีพลังงานที่จะใช้ต่อไป  
เราไม่ได้พบความจริงนี้จนกระทั่งเมื่อไม่นานนี้  
แต่ผู้เขียนพระคัมภีร์ได้บันทึกไว้อย่างแม่นยำหลายพันปี  คำถามก็คือ 
ใครเป็นผู้ประสาทความรู้ที่อยู่เบื้องหลังนี้?
จากวิชาสาขาการแพทย์
 FROM THE FIELD OF MEDICINE
    โมเซบอกชนชาติยิศราเอลว่า 
"ชีวิตของเนื้อหนังคือโลหิต"  (เลวิติโก 17:11-14)  
โมเซพูดถูกเพราะว่าในโลหิตแดงเป็นพาหะนำออกซิเจนไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ 
อวัยวะภายในของร่างกายทำให้ชีวิตดำรงอยู่ได้  
(ขึ้นอยู่กับโมเลกุลของฮีโมโกลบินซึ่งมีอยู่ในทุกเซลล์)  
แท้ที่จริงเซลล์เม็ดโลหิตแดงของมนุษย์เป็นพาหะนำโมเลกุลของฮีโมโกลบินประมาณ 
270,000,000 หน่วยต่อหนึ่งเซลล์  
ถ้าจำนวนโมเลกุลฮีโมโกลบินลดน้อยลงก็จะไม่มีออกซิเจนมากพอที่จะทำให้ชีวิตดำเนินต่อไป  
แม้แค่ไอจามหรือโดนตบหลังหนัก ๆ  เดี๋ยวนี้เรารู้แล้วว่า 
"ชีวิตของเนื้อหนังอยู่ในโลหิต"  แต่สมัยของ George 
Washington คนยังไม่รู้ความจริงนี้ "คนในยุคนั้นตายเพราะอะไร?"  
พวกเขาตายเพราะถูกรีดโลหิตให้ไหลออกจากร่างกาย  คนในสมัยนั้น 
(แม้กระทั่งนักวิทยาศาสตร์) พวกคิดว่าโลหิตเป็น เชื้อร้าย 
ดังนั้นการรีดเอาโลหิตออกจะทำให้คนหายป่วย  
ปัจจุบันนี้เรารู้ว่านั่นเป็นวิธีที่ผิด  
ปัจจุบันนี้เราก็มีการถ่ายเลือดเข้าสู่ผู้ป่วย  ทำให้ผู้ป่วยสามารถหายป่วยได้  
เรารู้ว่านั่นเป็นความจริง  แต่ผู้เขียนพระคัมภีร์รู้ความจริงได้อย่างไร?  
ในเยเนซิศ 17:12  พระเจ้าสั่งอับราฮามให้ทำสุนัด (ขลิบปลายอวัยวะเพศชาย) 
ให้กับเด็กทารกเพศชายที่เกิดมาได้ แปด วัน  คำถามคำทำไมต้องเป็นวันที่แปด?  
ในมนุษย์การที่โลหิตหยุดไหลขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงสำคัญสามประการ กล่าวคือ (ก)
plateletes  (ข) วิตามิน K
และ (ค) prothrombin  วิตามิน
K ทำหน้าที่ในการผลิต (โดยตับ) 
Prothrombin ถ้าจำนวนของวิตามิน K 
ไม่เพียงพอจะทำให้การผลิต Prothrombin 
ไม่เพียงพอไปด้วยผลที่จะตามมาก็คือทำให้เกิด hemorrhaging
เป็นอาการโลหิตไหลออก
    
เป็นที่น่าสนใจอย่างยิ่งว่าทารกที่เกิดใหม่ภายในห้าถึงเจ็ดวันเท่านั้นจะผลิตวิตามิน
K (ผลิตขึ้นโดยแบคทีเรียซึ่งอยู่ในลำไส้) 
มากเพียงพอแก่ความต้องการ  วิตามิน K บวกกับ
Prothrombin เป็นสาเหตุทำให้โลหิตไม่ไหล (Coagulation)  
ซึ่งสำคัญมาก ในขบวนการของการผ่าตัดเห็นชัดเจนแล้วว่า ถ้าวิตามิน
K 
ไม่ได้ผลิตในปริมาณมากเพียงพอภายในวันที่ห้าถึงวันที่เจ็ด  
เป็นการฉลาดดีกว่าที่จะเลื่อนการผ่าตัดไปทำวันหลัง  
ทำไมพระเจ้าจึงกำหนดเจาะจงลงไปจะทำสุนัด วันที่แปด?
    วันที่แปดจำนวนของ
Prothrombin ถูกยกปริมาณมากกว่า 100 
เปอร์เซ็นต์มากกว่าปกติ  
แท้ที่จริงวันที่แปดเป็นวันเดียวเท่านั้นที่ชีวิตของเพศชายจะอยู่ในสภาพปกติเช่นนั้น  
ถ้าจะต้องทำการผ่าตัดทำสุนัดวันที่แปดเป็นวันที่เหมาะสมที่สุด
จากวิชาสาขาโบราณคดี 
FROM THE FIELD OF ARCHAEOLOGY
    
Moabite Stone (ศิลาจารึกโมอาบ)  
ได้ถูกพบขึ้นโดยมิชชันนารีชาวเยอรมันเมื่อปี 1868 ศิลานี้ได้สกัดขึ้นเมื่อปี 850
B.C. ก่อนคริสตศักราชซึ่งอยู่ในสมัยการปกครองของกษัตริย์
Mesha กษัตริย์ของประเทศโมอาบ  
ในศิลาจารึกได้บอกเล่าเกี่ยวกับการที่ประเทศโมอาบเป็นเมืองขึ้นของประเทศยิศราเอล  
และได้กล่าวถึงอัมรีซึ่งเป็นแม่ทัพของยิศราเอลและเป็นกษัตริย์ในเวลานั้น  
พระคัมภีร์ได้บันทึกถึงเหตุการณ์เดียวกันใน 1กษัตริย์ 16:16  
แสดงว่าแผ่นดินที่พลิกฟื้นทุกกระเบียดนิ้วโบราณคดีได้พิสูจน์ให้เห็นว่าสิ่งที่พระคัมภีร์ได้บันทึกไว้เป็นความจริงทุกประการ
    
พระคัมภีร์ได้กล่าวนามของกษัตริย์ Belshazzar (เบละซาซัร)  
ปรากฏอยู่ในหนังสือดานิเอล 5:22, 7:1, 8:1  เกี่ยวกับนามของกษัตริย์เบละซาซัรพวกที่ชอบคัดค้านพระคัมภีร์มักหยิบยกเอาเรื่องของเบละซาซัรมาโจมตีว่าประวัติศาสตร์โลกไม่มีบันทึกของบุคคลนี้และไม่มีหลักฐานอะไรมายืนยันว่า 
เบละซาซัร มีตัวตนจริง ๆ ในปี ค.ศ. 1876 Sir Henry Rawlinson
ได้ขุดค้นพบแผ่นก้อนอิฐดินเผาจำนวน 2000 แผ่น ณ บริเวณ 
Babylon โบราณได้พบนามคนที่เชื่อว่าเบละซาซัร 
ทำหน้าที่เป็นกษัตริย์แทนพระราชบิดา Nibonidus 
ขณะที่ไม่อยู่ในพระราชวัง  ที่จริงพระคัมภีร์ถูกมาโดยตลอด
สรุป
    
คนที่ตั้งหน้าตั้งตาต่อสู้พระเจ้าได้คัดค้านความจริงของพระคัมภีร์เป็นเวลานานแต่ต้องพ่ายแพ้  
กษัตริย์ยะโฮยาคิม ได้ใช้มีดพับตัดส่วนหนึ่งของพระคัมภีร์ออกเป็นชิ้น ๆ 
แล้วเผาทิ้งในกองไฟ (ยิระมะยา 36:22-23) 
ในประวัติศาสตร์ยุคกลางได้มีความพยายามที่ขจัดพระคัมภีร์ออกไปจากมือของคนทั่วไปตามบ้าน  
คนที่ถูกจับได้ว่ามีการแปลพระคัมภีร์หรือแจกจ่ายพระคัมภีร์จะถูกจำคุกหรือถูกทรมานหรือแม้ถูกฆ่าตาย  
อีกร้อยปีต่อมา นักต่อต้านตัวฉกาจชาวฝรั่งเศสชื่อ Voltaire
ได้พูดอวดอ้างว่า 
"ภายในห้าสิบปีเราจะไม่ได้ยินคนที่มีการศึกษาพูดถึงพระคัมภีร์อีกเลย"  
พระคัมภีร์ก็ยังมีการพูดถึงอยู่ในบรรดาคนที่มีการศึกษาจนถึงปัจจุบันแต่ในเวลาเดียวกัน 
ชื่อ Voltaire กำลังจืดจางหายไปในประวัติศาสตร์
    รัฐบาลมาแล้วก็จากไป  
ประเทศชาติขึ้นแล้วก็จมลง  คนมีชีวิตอยู่แล้วก็ตายไป  
แต่พระคัมภีร์ยังคงอยู่  พระเยซูตรัสว่า 
"ฟ้าและดินจะล่วงไปแต่คำของเราจะศูนย์หายไปก็หามิได้เลย" (มัดธาย 24:35)  
ยะซายาได้เขียนว่า "มนุษย์ชาตินี่เปรียบเหมือนหญ้าจริงทีเดียว  
ส่วนหญ้านั้นก็เหี่ยวแห้ง และดอกไม้ก็ร่วงโรยไป แต่พระดำรัสของพระเจ้าของเราจะยั่งยืนอยู่เป็นนิจ" 
(ยะซายา 40:58)
ตอบคำถาม คลิกที่นี่  https://docs.google.com/forms/d/1ZVh0HBSYNmTKuOP4FSUwr144jUsG5idiXt9gVCgg1gA/viewform
 
