มีพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์
THE EXISTENCE OF GOD
มีต้นเหตุและผลที่เกิดจากต้นเหตุ
CAUSE & EFFECTคำถามขั้นพื้นฐานที่สุดซึ่งจิตใจของมนุษย์อยากจะถามก็คือ "มีพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่จริงหรือ?" มีทางเลือก 2 ทาง มีพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์หรือไม่ก็ไม่มีพระเจ้า ไม่มีคำตอบตรงกลาง คนที่ไม่เชื่อพระเจ้าพูดอย่างองอาจว่า ไม่มีพระเจ้า คนที่เชื่อพระเจ้าพูดอย่างองอาจว่า มีพระเจ้าจริง พวกอวิชชาพูดว่าไม่มีหลักฐานพอที่จะตัดสินเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ และพวกนักสงสัยมีความสงสัยการเชื่อพระเจ้า พวกเขาบอกว่าไม่สามารถพิสูจน์เป็นที่แน่ชัดได้ว่าใครถูก? มีพระเจ้าจริงหรือเปล่า? แน่ละวิธีเดียวที่จะหาคำตอบที่ถูกต้องก็คือการค้นหาหลักฐานมาพิสูจน์ว่าใครถูก? น่าสนใจที่จะแนะว่าถ้ามีพระเจ้าจริง พระองค์ก็คงจะประทานหลักฐานมากเพียงพอในการพิสูจน์ให้เห็นว่าพระองค์ทรงพระชนม์อยู่จริง คำถามคือมีหลักฐานหรือไม่?
คนที่เชื่อว่ามีพระเจ้ายืนยันว่า มีหลักฐานมากพอที่พิสูจน์ได้อย่างแน่นอนว่า มีพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่จริง อย่างไรก็ตามเมื่อเราใช้คำว่า "พิสูจน์" เราไม่ต้องการให้ท่านเข้าใจว่า การที่พระเจ้าทรงพระชนม์สามารถพิสูจน์ได้ด้วยวิธีการของวิทยาศาสตร์เหมือนกับการที่เราชั่งมันฝรั่ง 10 กิโลกรัม หรือพิสูจน์ว่าหัวใจของมนุษย์มีสี่ห้อง การนำผักหนึ่งถุงไปชั่ง หรือการแบ่งกล้ามเนื้อเป็นส่วนต่าง ๆ สิ่งเหล่านี้สามารถพิสูจน์ได้โดยใช้องค์สัมผัสทั้งห้า เป็นหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ เป็นประโยชน์ในการค้นหาความจริงบางอย่างในการพิสูจน์ความจริง แต่มิใช่เป็นวิธีเดียวเท่านั้น ตัวอย่างเช่น ผู้รักษากฎหมายใช้วิธีค้นหาความจริงเป็นวิธีที่เรียกว่า พรีมาฟาซี (prima facie) คือการหาข้อมูลหลักฐานเพื่อหาข้อสรุปว่าการที่จะหาตัวผู้กระทำผิดได้ก็ต่อเมื่อมีหลักฐานมากพอเพื่อยืนยันว่าหลักฐานเหล่านั้นเป็นความจริง เว้นไว้แต่ว่าความจริงดังกล่าวนั้นสามารถมีหลักฐานอื่นมาหักล้างได้ วิธีนี้เป็นวิธีที่พิสูจน์ความจริงโดยไม่มีข้อสงสัย เป็นสิ่งซึ่งพวกที่เชื่อว่ามีพระเจ้ายึดถือในหลักของพรีมาฟาซี โดยเชื่อว่ามีหลักฐานข้อมูลที่มีอานุภาพอย่างล้นหลามในการยืนยันว่า มีพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่จริง เป็นข้อพิสูจน์ที่ไม่สามารถหักล้างได้ เราต้องการเสนอหลักฐานส่วนหนึ่ง โดยใช้หลักพรีมาฟาซี คือการรวบรวมหลักฐานข้อมูลเพื่อนำไปสู่การสรุป โดยวิธีนี้เราสามารถยืนยันได้ว่ามีพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่จริง
ต้นเหตุและผลที่เกิดจากต้นเหตุ CAUSE AND EFFECT
หลักฐานเกี่ยวกับจักรวาล THE COSMOLOGICAL ARGUMENT
ในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ หลักฐานประการหนึ่งที่ดีที่สุดในการพิสูจน์ให้เห็นว่ามีพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ก็คือ หลักฐานเกี่ยวกับจักรวาล (ต้นเหตุและผลที่เกิดจากต้นเหตุ) ซึ่งมีใจความว่า จักรวาล (Cosmos) ได้อยู่ที่นี่แล้วเพราะฉะนั้นจะต้องมีที่มาและต้องมีคำอธิบายซึ่งแสดงว่าจะต้องมีต้นเหตุที่มา จักรวาลได้เกิดขึ้นจริง ๆ ผู้ที่เป็นคนมีเหตุผลทุก ๆ คน รวมทั้งผู้ที่ไม่เชื่อว่ามีพระเจ้าและพวกอวิชชา จะต้องยอมรับความจริงนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ คำถามเกิดขึ้น "จักรวาลอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?" ถ้าสสารหรือสิ่งไม่มีชีวิตไม่สามารถสร้างตัวเองได้ ถ้าเช่นนั้นสสารจะต้องเป็นสิ่งที่ "Contingent" (ไม่แน่นอน) เพราะว่าต้องพึ่งอยู่กับสิ่งที่มาจากภายนอก ไม่ใช่ตัวมันเองในการที่จะอธิบายว่าจักรวาลเกิดขึ้นได้อย่างไร เพราะฉะนั้นจักรวาลเป็นสิ่งที่เกิดเองไม่ได้ (Contingent) ในเมื่อจักรวาลไม่ใช่เป็นต้นเหตุให้เกิด หรือจักรวาลก็ไม่สามารถอธิบายตัวมันเองว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร ถ้าจักรวาลไม่ได้สร้างตัวมันเองขึ้นมา มันจะต้องมีต้นเหตุที่มาของมัน มันมาจากไหนล่ะ? ถ้าไม่มีผู้สร้าง? ตรงนี้แหละ กฎของต้นเหตุและผลที่เกิดจากต้นเหตุ ผูกพันอย่างแน่นแฟ้นกับหลักฐานเกี่ยวกับจักรวาล เมื่อกล่าวถึงความรู้วิทยาศาสตร์ กฎธรรมชาติต่าง ๆ ก็ไม่มีข้อยกเว้นเช่นกัน เป็นความจริงด้วยเหมือนกันกับกฎของต้นและผลที่เกิดจากต้นเหตุ ซึ่งเป็นกฎของจักรวาลทั้งสิ้น และเป็นกฎที่แน่นอนในบรรดากฎอื่น ๆ ทั้งสิ้น
กล่าวเป็นข้อความง่าย ๆ ว่า กฎของต้นเหตุและผลที่เกิดจากต้นเหตุมีใจความว่า สสารต่าง ๆ ที่เห็นเป็น ผลของบางอย่าง จะต้องมีต้นเหตุของการเกิดก่อน (หมายความว่าก่อนที่จะมีสสารเกิดขึ้นจะต้องมีต้นเหตุก่อน แล้วผลของต้นเหตุจึงเกิดตามมาทีหลัง) สสารจะไม่เกิดขึ้นเองโดยไม่มีต้นเหตุ และต้นจะไม่เกิดหลังผล ที่จะพูดว่าต้นเหตุมาหลังผลหรือผลมาก่อนต้นเหตุไม่มีความหมายเลย ยิ่งไปกว่านั้นผลจะยิ่งใหญ่เหนือกว่าต้นเหตุก็ไม่ได้ เพราะเหตุนี้เองนักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายจึงกล่าวว่า สสารทุกชนิดที่เกิดจะต้องมี ความสมบูรณ์ ของต้นเหตุ แม่น้ำจะไม่ขุ่นเพียงเพราะมีกบกระโดดลงไป หรือไม่ใช่หนังสือตกจากโต๊ะเพราะมีแมลงบินมาเกาะ คำอธิบายทำนองนี้ไม่มีความสมบูรณ์ของต้นเหตุที่ทำให้เกิดขึ้นเพราะอะไรที่เราเห็นเป็นผลของที่มาแสดงว่าจะต้องมีต้นเหตุที่สมบูรณ์อย่างมากซึ่งนำเรามาถึงคำถามตั้งแต่ต้น ต้นเหตุที่มาของจักรวาลคืออะไร? คำตอบที่เป็นไปได้มีอยู่สามประการเท่านั้น
(1) จักรวาลมีสภาพนิรันดร์ มันได้เกิดขึ้นแล้ว และจะอยู่อย่างนี้เสมอตลอดไป
(2) จักรวาลไม่มีสภาพนิรันดร์ แต่ได้สร้างตัวมันเองขึ้นมาจากสิ่งที่ไม่อะไรเลย หรือ
(3) จักรวาลนี้ไม่มีสภาพนิรันดร์ และไม่ได้สร้างตัวมันเองขึ้นมาจากสิ่งที่ไม่มีอะไรเลยแต่จักรวาลถูกสร้างขึ้นโดยบางสิ่ง (หรือผู้มีฤทธานุภาพ) ที่มีอานุภาพมากกว่าตัวมันเอง ทางเลือกสามประการควรแก่การพิจารณาอย่างจริงจังดังต่อไปนี้
จักรวาลมีอยู่ชั่วนิรันดร์หรือ? IS THE UNIVERSE ENTERNAL?
คำตอบที่ค่อนข้างสบาย ๆ สำหรับคนที่ไม่เชื่อว่ามีพระเจ้าก็คือความคิดที่ว่าจักรวาลมีมาก่อนแล้ว และจะมีอยู่เสมอตลอดไป เพราะความคิดดังกล่าวหลีกเลี่ยงไม่เฉพาะต้นกำเนิดของจักรวาลเท่านั้นแต่รวมทั้งที่สุดปลายด้วยและยิ่งกว่านั้นยังหลีกเลี่ยงเกี่ยวกับ "มูลเหตุเบื้องต้น" (มีพระเจ้าผู้ทรงสร้าง) อย่างไรก็ตามวิทยาศาสตร์ยุคใหม่ยอมรับว่า จักรวาลไม่มีอยู่ชั่วนิรันดร์ มันมูลเหตุเริ่มต้นและมีที่สุดปลายในบรรดากฎวิทยาศาสตร์ที่สำคัญที่สุด ซึ่งเป็นที่ยอมรับก็คือกฎความร้อน (First law of thermodynamics) บ่อยครั้งเรียกว่า Law of the Conservation of Energy and / or Matter (ภาษาไทย กฎของการอนุรักษ์พลังงาน และ/หรือ สสาร) กฎนี้มีใจความว่า ทั้งสสารหรือพลังงานไม่สามารถถูกสร้างขึ้นหรือถูกทำลายได้ Second Laws of thermodynamics ข้อที่สอง (บ่อยครั้งเรียกว่า Law of Increasing Entropy ภาษาไทย กฎเพิ่มอัตราการเสื่อมโทรม) กฎนี้มีใจความว่า ทุกสิ่งกำลังเสื่อมสลายพลังงานที่ใช้กำลังเหลือน้อยลงไปทุกที การเสื่อมโทรม (การเสื่อมสลาย การไม่มีระเบียบ หรือการไม่มีโครงสร้าง) มีอัตราเพิ่มขึ้นสูง นั้นหมายความว่าในที่สุด "จักรวาล" จะ "ถดถอยลง" กฎ Thermodynamics ข้อสองชี้ว่า (1) ตั้งแต่จุดเริ่มต้นตอนแรก จักรวาลอยู่ในสภาพที่มีพลังงานใช้อย่างเต็มบริบูรณ์ (2) จุดจบในอนาคตเมื่อไม่มีพลังงานเหลือไว้ (นักวิทยาศาสตร์เรียกว่า "ความร้อนตาย") ซึ่งจะเป็นเหตุให้จักรวาล "ตาย" หรือพูดให้เข้าใจใหม่ว่า จักรวาลเป็นเหมือนนาฬิกาเรือนใหญ่ที่ได้ถูกไขลานเต็มอัตราตั้งแต่ต้น แต่ขณะนี้ลานกำลังอ่อนตัวลง ข้อสรุปที่ได้มาจากข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่ปฏิเสธไม่ได้ว่า จักรวาลไม่ใช่มีอยู่ชั่วนิรันดร์ สภาพนิรันดร์จะไม่มีจุดเริ่มต้นและไม่มีจุดปลาย และจะไม่มีวัน "ถดถอยลง" นักวิทยาศาสตร์ผู้เรืองนามชื่อ โรเบอร์ต จาสโตรว์ แห่ง NASA (ซึ่งเป็นผู้ที่ไม่เชื่อพระเจ้า) เขาเรียกว่า "วิทยาศาสตร์ยุคใหม่ปฏิเสธว่าจักรวาลไม่มีอยู่ชั่วนิรันดร์" เขาพูดถูก เดี๋ยวนี้เรารู้แน่นอนโดยหลักวิทยาศาสตร์ว่า จักรวาลไม่มีอยู่ชั่วนิรันดร์
จักรวาลสร้างตัวมันเองจากสิ่งที่ไม่มีอะไรเลยหรือ?
DID THE UNIVERSE CREATE ITSELF OUT OF NOTHING?
ในอดีตแทบจะเป็นไปไม่ได้ในการหานักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงเต็มใจที่จะประกาศว่าจักรวาลสร้างตัวมันเอง นักวิทยาศาสตร์ทุกคน รวมทั้งเด็กนักเรียนในโรงเรียนเข้าใจว่าไม่มีสสารอะไรสามารถ "สร้างตัวมันเอง" จักรวาลเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้น จักรวาล ไม่ใช่ผู้สร้าง จนกระทั่งไม่นานดูเหมือนว่าไม่มีใครกล้าคัดค้านจุดนี้ อย่างไรก็ตามหลักฐานแน่นหนาบอกว่าจักรวาลมีจุดเริ่มต้น (ดังนั้นต้นเหตุที่มาเหนือกว่าตัวมันเอง) นักวิทยาศาสตร์บางคนที่ไม่เชื่อพระเจ้าได้แนะว่าจักรวาลสร้างตัวมันเองจากสิ่งที่ไม่มีอะไรเลย แน่นอนข้อเสนอแนะดังกล่าวไร้สาระเพราะหลักของฟิสิกส์กำหนดไว้ว่าการสร้างบางสิ่งบางอย่างจากสิ่งที่ไม่มีอะไรเลยนั้นเป็นไปไม่ได้ แม้กระนั้นก็ตามพวกที่ไม่เชื่อพระเจ้าก็ยังออกมาปกป้องตัวเอง ข้อเสนอแนะดังกล่าวขัดกับกฎ First Las of Thermodynamics ซึ่งกล่าวไว้ว่าทั้งสสารหรือพลังงานไม่สามารถูกสร้างขึ้นหรือถูกทำลายได้ในธรรมชาติ เช่น นักดาราศาสตร์ โรเบอร์ต จาสโตรว์ กล่าวไว้ว่า "การที่สสารจะสร้างสสารจากสิ่งที่ไม่มีอะไรเลยเป็นการละเมิดกฎของวิทยาศาสตร์ที่เรายกย่องนักหนา เป็นการละเมิดหลักของวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับการอนุรักษ์สสารและพลังงานซึ่งมีใจความว่า สสารและพลังงานไม่สามารถถูกสร้างหรือถูกทำลายได้ สสารสามารถเปลี่ยนพลังงานได้หรือในทางกลับกันพลังงานเปลี่ยนเป็นสสารได้ แต่สสารและพลังงานทั้งสิ้นในจักรวาลจะต้องอยู่คงที่ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดกาล เป็นการยากที่จะยอมรับทฤษฎีที่ขัดแย้งต่อวิทยาศาสตร์อันเป็นข้อเท็จจริงที่เป็นหลักแน่นอน" ยิ่งกว่านั้นวิทยาศาสตร์ยึดหลักในการวิจัย สามารถผลิตได้ รวมทั้งยึดข้อมูลเป็นหลัก ครั้นเมื่อเรียกร้องข้อมูลเพื่อเป็นเอกสารยืนยันว่าจักรวาลสามารถสร้างตัวมันเองจากสิ่งที่ไม่มีอะไรเลย ผู้ที่ไม่เชื่อว่ามีพระเจ้าจำใจต้องยอมรับว่า ไม่มีหลักฐานยืนยันทฤษฎีดังกล่าว จักรวาลไม่สามารถสร้างตัวมันเองได้ ความคิดดังกล่าวไร้สาระทั้งหลักปรัชญาและหลักวิทยาศาสตร์
จักรวาลสร้างขึ้นหรือ? Was the Universe Created?
จักรวาลจะต้องมีจุดเริ่มต้นหรือไม่ก็ไม่มีจุดเริ่มต้น แต่หลักฐานที่มีทั้งหมดชี้ให้เห็นว่าจักรวาลมีจุดเริ่มต้น ถ้าจักรวาลมีจุดเริ่มต้นจะต้องมีต้นเหตุทำให้เกิดขึ้นหรือไม่มีต้นเหตุให้มันเกิดขึ้น สิ่งหนึ่งที่เรารู้แน่นอนซึ่งถูกต้องตามหลักตรรกวิทยา ถูกต้องตามหลักวิทยาศาสตร์ เป็นที่ยอมรับว่าจักรวาลมีต้นเหตุเพราะจักรวาลเป็นผลที่เกิดขึ้นจากต้นเหตุ เพราะฉะนั้นจำเป็นต้องมีต้นเหตุที่มาของจักรวาล กฎของต้นเหตุและผลที่เกิดจากต้นเหตุมีใจความว่า สสารต่าง ๆ ที่เห็นเป็นผลของบางอย่างจะต้องมีต้นเหตุของการเกิดก่อน ข้อสังเกตเพิ่มเติมอีกประการก็คือ ผลที่เกิดขึ้นนั้นไม่สามารถยิ่งใหญ่กว่าต้นเหตุแน่นอนเพราะเป็นที่แน่ชัดแล้วว่าจักรวาลไม่มีอยู่ชั่วนิรันดร์ และเพราะเป็นที่แน่ชัดอีกด้วยว่าจักรวาลไม่สามารถสร้างตัวมันเอง ทางเลือกที่เหลืออยู่มีทางเดียวเท่านั้นก็คือจักรวาลถูกสร้างขึ้นโดยบางสิ่งหรือถูกสร้างขึ้นโดยผู้ใดผู้หนึ่งซึ่ง (ก) ผู้นั้นอยู่ก่อนจักรวาลนั่นก็คือสิ่งที่นิรันดร์เป็นต้นเหตุแรก (ข) ผู้นั้นที่สร้างจักวาลจะต้องยิ่งใหญ่เหนือกว่าจักรวาล เพราะสิ่งที่ถูกสร้างย่อมไม่ยิ่งใหญ่กว่าผู้สร้าง และ (ค) ผู้นั้นมีสภาพไม่เหมือนจักรวาล เพราะจักรวาลเป็นสสารพึ่งตัวเองในการอธิบายตัวเองไม่ได้ ที่สัมพันธ์กับสิ่งที่กล่าวข้างต้น มีข้อเท็จจริงอีกประการหนึ่งที่ควรพิจารณา ถ้าเคยมีเวลาเมื่อไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย ดังนั้นก็หมายความว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นเวลานี้ เพราะเป็นความจริงเสมอที่ว่า ถ้าไม่มีอะไรจะสร้างอะไรไม่ได้ในทัศนะนี้ เพราะมีบางสิ่งอยู่เดี๋ยวนี้ เหตุผลที่ตามมาก็คือแสดงว่าสิ่งนั้นมีอยู่ชั่วนิรันดร์แล้ว ทุกสิ่งที่มนุษย์รู้ว่าเกิดขึ้นสามารถจัดเข้าเป็นสองพวกคือ สสาร หรือ จิตต์ ไม่มีทางเลือกที่สาม เหตุผลก็จะเป็นดังนี้คือ
1. ทุกสิ่งเกิดขึ้นจะเป็นสสารหรือไม่ก็เป็นจิตต์
2. มีบางสิ่งเกิดขึ้นเดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้นมีบางสิ่งอยู่ชั่วนิรันดร์แน่นอน
3. เพราะฉะนั้น สสารหรือไม่ก็จิตต์ต้องมีสภาพนิรันดร์แน่อน
ก. สสารหรือไม่ก็จิตต์ต้องมีสภาพนิรันดร์
ข. แต่สสารไม่มีสภาพนิรันดร์ตามหลักฐานที่ยกมากล่าวเบื้องต้น
ค. ดังนั้นสรุปว่า จิตต์มีสภาพนิรันดร์
หรือใช้เหตุผลที่แตกต่างกัน
1. ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมาเองหรือไม่เกิดขึ้นมาเองโดยอิสระ (ไม่มีความแน่นอน)
2. ถ้าจักรวาลไม่มีอยู่ชั่วนิรันดร์แสดงว่าไม่แน่นอน
3. จักรวาลไม่มีอยู่ชั่วนิรันดร์
4. เพราะฉะนั้นจักรวาลเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอนไม่เกิดขึ้นโดยอิสระ
ก. ถ้าจักรวาลไม่แน่นอนจะต้องมีต้นเหตุโดยบางสิ่งที่แน่นอนกว่า
ข. แต่จักรวาลเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน
ค. เพราะฉะนั้นจักรวาลเป็นผลผลิตโดยสิ่งที่ถาวร เป็นพลานุภาพที่มีอยู่ในตัวเองซึ่งไม่ได้มาจากที่อื่น
ในอดีตพวกไม่เชื่อว่ามีพระเจ้า แต่เชื่อทฤษฎีวิวัฒนาการอธิบายว่าจิตต์ไม่มีอะไรมากไปกว่าการทำงานของสมอง ซึ่งเป็นสสาร ดังนั้นจิตต์กับสมองคือสิ่งเดียวกันและสสารอย่างเดียวเท่านั้นที่เกิดขึ้นอย่างไรก็ตามทัศนะดังกล่าวไม่เป็นที่ชื่นชมของวิทยาศาสตร์ต่อไปแล้ว ทั้งนี้เพราะการทดลองอันมีชื่อเสียงโด่งดังของนัก Physiologist ชาวออสเตรเลียชื่อ ดร.เซอร์จอห์น เอดเคิลส์ ซึ่งได้รับรางวัลโนเบล จากการค้นพบของท่านเกี่ยวกับการทำงานของสมอง (รู้จักกันว่า "neural synapses") ในเอกสารสำคัญได้ระบุว่าจิตต์ไม่ใช่เป็นแค่เนื้อหนังเท่านั้น ท่านได้ชี้ให้เห็นว่า ส่วนที่เป็นพลังขับเคลื่อนของสมองอาจจะถูกกระตุ้นโดยความตั้งใจ ในการทำบางสิ่งบางอย่างโดยไม่มีตัวพลังขับเคลื่อน (ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมความเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อ) ถ้าจะเปรียบจิตต์กับสมองก็เปรียบเหมือนบรรณารักษ์กับห้องสมุด จิตต์เปรียบเหมือนบรรณารักษ์ไม่ด้อยกว่าห้องสมุดคือสมอง ดร.เอดเคิลส์ ได้อธิบายวิธีการในเชิงวิทยาศาสตร์ โดยสรุปไว้ในหนังสือของท่านชื่อ The Self and Its Brain (ตัวเองกับสมอง) หนังสือที่เขียนขึ้นโดยประพันธ์ร่วมกับนักวิทยาศาสตร์ผู้เรืองนามของอังกฤษชื่อ เซอร์คาร์ล ป๊อปเปอร์
โดยวิทยาศาสตร์ทางเลือกระหว่างสสารเท่านั้นหรือต้องเลือกมากยิ่งกว่าสสาร เพื่อจะอธิบายปรากฏการณ์ความมีระเบียบของจักรวาล ทางเลือกมีเหลืออยู่แค่สองทางคือ (ก) เวลาบวกกับความบังเอิญและบวกกับสสารตามธรรมชาติ หรือ (ข) แบบ, การสร้างและที่เราปฏิเสธไม่ได้ถึงความมีระบบและระเบียบและจิตต์ที่อยู่เบื้องหลัง ที่จริงถ้าเราต้องการคำตอบ มีทางเลือกสองทาง เป็นคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์สองประการเท่านั้นที่เกี่ยวกับต้นกำเนิดของระเบียบในจักรวาลและชีวิตในจักรวาล คือจะต้องมีผู้จัดสสารให้มีระเบียบ หรือระเบียบเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ
แด่ผู้ที่เสนอว่าความมีระเบียบเกิดขึ้นในตัวมันเองโดยธรรมชาติ เราขอตอบว่าเราไม่เคยเห็นหลักฐานว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นได้ ยิ่งกว่านั้นทั้งปรัชญาและวิทยาศาสตร์กล่าวเป็นเสียงเดียวที่ดังอย่างชัดถ้อยชัดคำว่าการเกิดของสิ่งสารพัดไม่ได้เกิดขึ้นเองแต่เกิดขึ้นโดยจิตต์ที่มีสภาพนิรันดร์ที่สร้างจักรวาล และสร้างทุกสิ่งในจักรวาล
ต่อให้พวกนักสงสัยใช้ความพยายามให้มากที่สุดเขาก็ยังไม่สามารถหลีกเลี่ยงข้อเท็จจริงของกฎต้นเหตุและผลที่เกิดจากต้นเหตุได้ แม้กระนั้นก็ตามนั่นไม่สามารถยับยั้งความพยายามของพวกเขา ดังนั้นเขาจึงหาหลักฐานมากมายเพื่อโค่นล้มความจริงดังกล่าว ตัวอย่างเช่นพวกเขาโต้แย้งโดยยืนยันว่าความจริงของเหตุและผล (Cause and Effect) ขัดแย้งในตัวเอง ข้อโต้แย้งมีใจความดังนี้ว่าหลักของ Cause และ Effect (มีต้นเหตุก็ต้องมีผลหรือผลมาจากต้นเหตุ) ทุกสิ่งจะต้องมีต้นเหตุ ความคิดนี้ทำให้สารพัดทุกสิ่งที่อยู่ในจักรวาลย้อนหลังไปถึงต้นเหตุแรก เมื่อย้อนหลังไปถึงจุดเริ่มต้นแรกทุกอย่างก็หยุดตรงนั้นทันที แต่ข้อเท็จจริงนั้นจะยังคงยืนยันอย่างเสมอต้นเสมอปลายได้อย่างไร? ทำไมหลักการที่ว่า "ทุกสิ่งจะต้องมีต้นเหตุแรก" กลายเป็นสิ่งไม่จริงทันที? ถ้าทุกสิ่งต้องการคำอธิบาย หรือต้องการค้นหาสาเหตุเบื้องต้นทำไมสิ่งที่เป็นมูลเหตุเบื้องต้น ไม่ต้องการคำอธิบายหรือไม่ต้องการค้นหาว่าอะไรเป็นสาเหตุ? และถ้าสิ่งที่เป็นมูลเหตุเบื้องต้นไม่ต้องการคำอธิบายทำไมสิ่งอื่น ๆ ต้องการคำอธิบายด้วยล่ะ? เราขอเสนอคำตอบสองประการแก่ผู้คัดค้านหลักการเกี่ยวกับสาเหตุของการทำให้ทุกสิ่งเกิดขึ้น
ประการแรก : เป็นไปไม่ได้เด็ดขาดด้วยเหตุผลของตรรกวิทยา ที่จะป้องกันทัศนะเรื่อง "Infinite regress" การถดถอยไม่สิ้นสุด ซึ่งมีผลที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยไม่มีสาเหตุเบื้องต้นที่ทำให้ทุกสิ่งเกิดขึ้นก่อนพวกปรัชญาทั้งหลายได้ถกเถียงเรื่องนี้อย่างถูกต้องมาเป็นเวลาหลายชั่วอายุ อะไรก็ตามที่เกิดแสดงว่าจะต้องมีสาเหตุเบื้องต้นที่ทำให้มันเกิดขึ้นก่อนแน่นอน
ประการที่สอง : ข้อคัดค้านที่เสนอโดยพวกที่ไม่เชื่อว่ามีพระเจ้าได้เสนอว่ากฎของมูลเหตุที่ทำให้เกิดเบื้องต้นมีความขัดแย้งในตัวเองนั้นไม่ขัดแย้งต่อกฎนั้นแต่ค้านต่อ คำกล่าวที่ผิด ที่เกี่ยวข้องกับกฎ สมมุติว่ามีผู้หนึ่งกล่าวว่า "ทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องมีมูลเหตุเบื้องต้น" ถ้าเช่นนั้นคำคัดค้านนั้นสมเหตุสมผลแต่นี่ไม่ใช่กฎของการที่ทำให้ทุกสิ่งเบื้องต้นกล่าวดังนั้นกฎเบื้องต้นมีใจความว่า ผลที่เกิดสสาร ทุกอย่างต้องมีมูลเหตุเบื้องต้น ก่อนที่จะเกิดมีสสาร ถ้าเราย้อนถอยหลังไปเมื่อมาถึงจุดเริ่มต้นขั้นสุดในอดีตจะต้องมีผู้ที่เป็นมูลเหตุแรกอันบริสุทธิ์ที่ทำให้สิ่งสารพัดเกิดขั้นมาสิ่งที่เป็นต้นเหตุให้เกิดไม่ใช่เป็นสสารแน่นอน
สรุป
กฎของต้นเหตุและผลที่เกิดจากต้นเหตุและข้อโต้แย้งเกี่ยวกับจักรวาลตั้งอยู่บนพื้นฐานของกฎดังกล่าวนั้นเป็นคำอธิบายที่เกี่ยวข้องกับการเกิดของชีวิตมนุษย์ จักรวาลได้มีอยู่ที่นี่แล้ว เพราะฉะนั้นแสดงว่าจะต้องมีสาเหตุเบื้องต้นที่ทำให้มันเกิดขึ้นไม่ใช่มันเกิดเอง อุทาหรณ์ที่สนับสนุนกฎของต้นเหตุและผลที่เกิดจากต้นเหตุได้เป็นอย่างดีคือ นักวิทยาศาสตร์คนหนึ่งชื่อ อาร์ แอล ไวซอง ได้กล่าวถึงเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ตอนหนึ่ง เมื่อไม่นานนี้นักวิทยาศาสตร์หลายท่านได้ถูกเรียกไปที่ประเทศอังกฤษเพื่อศึกษาเกี่ยวกับก้อนหินที่เรียงรายอยู่ในลักษณะต่าง ๆ นักโบราณคดีเรียกว่า Stonehenge (สโตนเฮนจ์) การศึกษายิ่งลึกมากเท่าใดก็ยิ่งเห็นชัดว่าก้อนหินที่ตั้งเรียงรายตามแบบต่าง ๆ นั้นออกแบบไว้สำหรับการพยากรณ์ปรากฏการณ์ของดาราศาสตร์ คำถามมากมายเกิดขึ้นตามมา (ตัวอย่างเช่น คนสมัยโบราณสามารถสร้างเครื่องมือดาราศาสตร์ได้อย่างไรและข้อมูลอันเป็นผลจากการศึกษาพวกเขานำไปใช้อย่างไร ฯลฯ) ยังไม่สามารถหาคำตอบได้จนถึงปัจจุบัน แต่มีสิ่งหนึ่งที่เรารู้อย่างแน่นอนว่า มูลเหตุเบื้องต้น ที่ทำให้เกิดสโตนเฮนจ์ ได้ถูกออกแบบโดยผู้ที่มีสติปัญญาไม่ใช่เกิดขึ้นมาเองแน่นอน
คราวนี้ขอให้ท่านเอา สโตนเฮนจ์ เปรียบเทียบกับการเกิดของจักรวาลและชีวิตในจักรวาล เราได้ศึกษาชีวิต วิเคราะห์ดูการทำงานของมัน ชีวิตเหล่านี้สลับซับซ้อน (แม้แต่สติปัญญาของมนุษย์ไม่สามารถเลียนแบบได้ แม้จะใช้กลไกวิทยาศาสตร์ที่ก้าวหน้าและเทคโนโลยีที่ล้ำยุคก็ไม่อาจทำได้) แล้วเราจะสรุปอย่างไรล่ะ? จริง สโตนเฮนจ์ อาจจะเกิดขึ้นจากแรกกดดันของภูเขาหรืออาจจะเกิดขึ้นโดยปรากฏการณ์ตามธรรมชาติอย่างรุนแรง ทำให้กลายเป็นหินมีลักษณะต่าง ๆ โดยบังเอิญอย่างนั้นหรือ? อยากจะถามว่านักปราชญ์และนักวิทยาศาสตร์เห็นพ้องกับข้อสรุปดังกล่าวหรือไม่? ไม่มีมนุษย์คนไหนที่มีสมองปกติจะยอมรับว่าสโตนเฮนจ์ "เกิดขึ้นมาเอง" โดยอุบัติเหตุ แม้กระนั้นก็ตามผู้ที่ไม่เชื่อพระเจ้า พวกอวิชชา พวกนักสงสัย ต้องการให้เราเชื่อ สิ่งที่มีระเบียบอันสูงส่งด้วยการออกแบบที่น่าทึ่งของจักรวาล (และรวมทั้งชีวิตที่สลับซับซ้อน) "เกิดขึ้นมาเอง" โดยไม่มีใครออกแบบสร้างอย่างนั้นหรือ การที่จะยอมรับความคิดว่า "มันเกิดขึ้นเอง" เป็นสิ่งที่ไร้เหตุผล เพราะว่าข้อสรุปไม่มีเหตุผล ที่ยอมรับไม่ได้ และไม่มีหลักฐานยืนยัน ต้นเหตุที่ทำให้มันเกิดไม่สมบูรณ์จะทำให้เกิดเองโดยบังเอิญไม่ได้ การหาเหตุผลแบบนี้สามารถใช้ได้กับการเกิดของจักรวาลรวมทั้งเราทั้งหลายที่อาศัยอยู่ในโลก มนุษย์มีคุณลักษณะพิเศษที่ปฏิเสธไม่ได้ มีความสามารถในการใช้เหตุผล มีความสามารถในการรับรู้ มีความสามารถในการแสดงปฏิกิริยาที่มีเหตุผล แต่ต้นกำเนิดของคุณลักษณะอันวิเศษเหล่านี้คืออะไร? ทฤษฎีวิวัฒนาการไม่มีคำตอบที่ชัดเจน
นักปรัชญาคนหนึ่งชื่อ นอร์แมน ไกสเลอร์ ได้กล่าวถูกต้องว่า "มูลเหตุเบื้องต้นไม่สามารถให้ในสิ่งที่ตัวไม่มีจะให้ ถ้าจิตใจของข้าพเจ้าได้รับความสามารถในการรับรู้แสดงว่าจะต้องมีจิตต์หรือผู้รู้ที่ให้สิ่งนั้นแก่ข้าพเจ้า สติปัญญาไม่ได้เกิดขึ้นจากสิ่งที่ไม่มีสติปัญญา ไม่มีอะไรเกิดขึ้นจากสิ่งที่ไม่มีอะไรเลย" ดร.ไกสเลอร์ พูดถูกอย่างแม่นมั่น ถ้ามนุษย์มีความสามารถในการใช้เหตุผล เพราะฉะนั้นจะต้องมีมูลเหตุเบื้องต้นซึ่งอยู่เบื้องหลังทำให้เกิดความสามารถนั้น มูลเหตุเบื้องต้นที่ให้ความสามารถในการใช้เหตุผล ถ้ามนุษย์มีคุณลักษณะที่มีความสามารถในการรับรู้ (นั่นคือ มีสติปัญญา รวมทั้งด้านเนื้อหนังที่รวมกันเป็นคน)
เพราะฉะนั้นก็ต้องมีมูลเหตุเบื้องต้นซึ่งอยู่เบื้องหลังความสามารถนี้ มูลเหตุเบื้องต้นที่ประกอบด้วยความสามารที่จะรับรู้ได้ ถ้ามนุษย์ประกอบด้วยความสามารถในการมีปฏิกิริยามีเหตุผล เพราะฉะนั้นก็ต้องมีมูลเหตุเบื้องต้นซึ่งอยู่เบื้องหลังความสามารถนั้น มูลเหตุนี้มีความสามารถในการมีปฏิกิริยาและมีปฏิกิริยาอย่างมีเหตุผลด้วย
สรุปในเนื้อหาหลักฐานของต้นเหตุและผลที่เกิดจากต้นเหตุ และหลักฐานของจักรวาลเป็นใจความง่าย ๆ ว่า สสารทุกอย่างที่เป็นผลย่อมต้องมีต้นเหตุก่อนที่สสารเหล่านี้จะอุบัติขึ้น จักรวาลมาอยู่ที่นี่แล้ว ชีวิตที่ประกอบด้วยสติปัญญามาอยู่ที่นี่แล้ว ศีลธรรมมาอยู่ที่นี่แล้ว สัจธรรมมาอยู่ที่นี่แล้ว ความรักมาอยู่ที่นี่แล้ว อะไรเป็นต้นเหตุเบื้องต้นที่ทำให้เกิดขึ้น? เพราะผลย่อมไม่มาก่อนต้นเหตุเบื้องต้น หรือผลจะยิ่งใหญ่กว่ามูลเหตุเบื้องต้นย่อมไม่ได้ ดังนั้น ข้อสรุปที่มีเหตุผลที่สุดก็คือ ต้นเหตุของชีวิตจะต้องเป็นผู้ที่มีชีวิตซึ่งมีสติปัญญาล้ำเลิศ มีศีลธรรม มีสัจธรรม และมีความรัก พระคริสตธรรมคัมภีร์ได้บันทึกว่า "เมื่อเดิมพระเจ้าได้เนรมิตสร้างฟ้าและดิน" พระคัมภีร์เปิดเผยให้เราทราบว่าพระเจ้าทรงเป็น มูลเหตุเบื้องต้น ของการเกิดสารพัดทุกสิ่ง ทั้งในจักรวาลและพิภพโลกนี้
ตอบคำถาม คลิกที่นี่ https://docs.google.com/forms/d/1WfsSYLzfPhTRCXDMDx_m3vjkdDO_0BiE4lqOMq7KR3g/viewform