มีพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ - แบบ  THE EXISTENCE OF GOD-DESIGN
    ในบรรดากฎต่าง ๆ ที่ใช้ในวิชาตรรกวิทยา มีกฎหนึ่งที่เรียกว่า 
กฎของการหาเหตุผล (Law of Rationality) 
กฎนี้บัญญัติไว้ว่า ก่อนที่ผู้ใดจะยอมรับความจริงใด ๆ 
ก็ต่อเมื่อผู้นั้นได้วิเคราะห์ข้อมูลหลักฐานที่สมบูรณ์แล้ว  
กฎนี้เป็นกฎที่มีประโยชน์มาก 
เพราะว่าผู้ใดก็ตามที่ยอมรับความจริงโดยไม่มีข้อมูลหลักฐานพร้อม  
แสดงว่าคนนั้นเป็นคนไร้เหตุผล ในการพิจารณาเรื่องมีพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ 
ผู้ที่เชื่อพระเจ้า (theists) ใช้ตรรกวิทยา, 
เหตุผลที่ชัดเจน  
รวมทั้งเสนอข้อมูลประกอบการพิจารณาอย่างพร้อมมูลมากเพียงพอในการสรุปว่ามีพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์
    หลักฐานต่าง ๆ 
ที่นำมาใช้เพื่อพิสูจน์จุดยืนของเราเรื่องพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อาจจะมีหลายแบบ 
ข้อโต้แย้งต่าง ๆ ที่นำเสนอโดยผู้เชื่อพระเจ้า 
เมื่อรวมกันแล้วจะทำให้เป็นหลักฐานที่มั่นคงไม่สามารถลบล้างได้ว่ามีพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่จริง  
เมื่อพิจารณาหลักฐานและข้อมูลทั้งหมดแล้วมากเกินพอที่จะสรุปได้ว่า 
มีพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์  
ในบทเรียนนี้เราจะนำเสนอและนำข้ออภิปรายมาเป็นหลักฐานประกอบเพื่อพิสูจน์ว่ามีพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์
หลักฐานเกี่ยวกับแบบ THE TELEOLOGICAL ARGUMENT
    เพื่อจะพิสูจน์ว่ามีพระเจ้า 
ผู้เชื่อใช้หลักเหตุผลที่เรียกว่าข้อโต้แย้งเกี่ยวกับแบบ (The 
Teleological Argument) "Teleology"  
คำนี้ใช้เพื่อชี้ให้เห็นจุดประสงค์หรือแบบโดยวิธีนี้เสนอว่าที่ไหนที่มีแบบที่นั่นจะต้องมีผู้ออกแบบ 
ในรูปแบบของตรรกวิทยา เหตุผลอาจเขียนเป็นข้อ ๆ ดังต่อไปนี้
1.  
ถ้าจักรวาลแสดงให้เห็นว่ามีแบบแสดงว่าจะต้องมีผู้ออกแบบ
2.  
จักรวาลมีหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่ามีแบบจริง
3. ดังนั้นจักรวาลจะต้องมีผู้ออกแบบจริง
    
รูปแบบตรรกวิทยานี้ถูกวิธีในการหาเหตุผลดังกล่าวและข้อสรุปต่าง ๆ 
ที่ตามมาไม่สามารถหนีพ้นความสนใจของผู้ที่ไม่เชื่อว่ามีพระเจ้า 
แม้ว่าผู้ไม่เชื่อก็สามารถเข้าใจได้ว่าบทประพันธ์จะไม่เกิดขึ้นโดยไม่มีผู้ประพันธ์  
กฎหมายมีขึ้นก็เพราะมีผู้บัญญัติขึ้น รูปภาพอันวิจิตรย่อมไม่เกิดขึ้นถ้าไม่มีจิตกร 
หรือมีแบบอยู่ทั่วทุกแห่งแต่ไม่มีผู้ออกแบบย่อมไม่ได้ 
ถึงแม้ว่าผู้ไม่เชื่อว่ามีพระเจ้ายอมรับว่าแบบทั่วทุกแห่งแสดงว่าจะต้องมีผู้ออกแบบก็ตาม  
แต่พวกเขาปฏิเสธว่าในธรรมชาติไม่มีแบบมากเพียงพอที่จะพิสูจน์ว่ามีนักออกแบบผู้ยิ่งใหญ่อยู่เบื้องหลัง  
ข้อขัดแย้งระหว่างผู้ที่เชื่อว่ามีพระเจ้า 
และผู้ที่ไม่เชื่อว่ามีพระเจ้าไม่อยู่ตรงประเด็ดที่ว่าแบบแสดงให้เห็นว่ามีผู้ออกแบบ  
แต่ประเด็นอยู่ตรงที่ว่า ในธรรมชาติมีหลักฐาน 
ข้อพิสูจน์บริบูรณ์มากพอที่จะสรุปว่ามีผู้ออกแบบจริง ตรงนี้แหละหลักฐานเกี่ยวกับแบบ 
(Teleological Argument)  
เข้ามามีบทบาทในการหาเหตุผลว่ามีพระเจ้า
แบบของจักรวาล  DESIGN OF THE UNIVERSE
    จักรวาลของเราขับเคลื่อนไปอย่างแม่นยำ โดยกฎวิทยาศาสตร์ 
ความแม่นยำของจักรวาลและความเที่ยงตรงของกฎวิทยาศาสตร์เที่ยงตรงมากทำให้นักวิทยาศาสตร์สามารถส่งยานอวกาศไปลงบนดวงจันทร์ตรงจุดที่กำหนดไว้ได้อย่างแม่นยำ  
ความเที่ยงตรงและแม่นยำทำให้นักดาราศาสตร์สามารถพยากรณ์ล่วงหน้าหลายปีก่อนที่จะเกิดขึ้นจริง 
หรือสามารถบอกล่วงหน้าว่าเมื่อใดดาวหางฮัลเลย์จะโคจรกลับมาให้เราเห็นอีกครั้ง  
ความเที่ยงตรง, ความสลับซับซ้อน และความมีระเบียบภายในจักรวาลไม่มีการขัดแย้งเลย  
ขณะที่พวกไม่เชื่อว่ามีพระเจ้าเต็มใจยอมรับว่ามีระเบียบ และมีความสลับซับซ้อน  
แต่พวกเขายังไม่เต็มใจที่ยอมรับว่ามีแบบที่เห็นได้อย่างชัดเจนที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะเขารู้ว่าแบบอันสลับซับซ้อนนั้นแสดงว่าต้องมีผู้ออกแบบที่ยิ่งใหญ่  
มีหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่ามีแบบหรือเปล่า?  
พวกไม่เชื่อว่ามีพระเจ้าอ้างว่าไม่มีหลักฐานอะไรเลย  
ในทางตรงข้ามพวกที่เชื่อพระเจ้าบอกว่ามีหลักฐานที่แสดงว่ามีแบบ  
ขอเสนอหลักฐานเพื่อสนับสนุนคำอ้างดังต่อไปนี้
    เราอาศัยอยู่ในจักรวาลที่ใหญ่มหึมา 
ขณะเดียวกันขอบเขตไกลโพ้นออกไปยังไม่สามารถวัดได้  
แต่ที่วัดได้คือจักรวาลของเรามีเส้นผ่าศูนย์กลาง 20พันล้านปีแสง 
(1ปีแสงเท่ากับการเดินทางของแสงภายในหนึ่งปี  
เดินทางด้วยความเร็วสูงมากกว่า 186,000 ไมล์ต่อวินาที  
หนึ่งปีแสงประมาณ 5,880,000,000,000 ไมล์)  
ประมาณว่ามีกาแล็กซี่หรือทางช้างเผือกหนึ่งพันล้านในจักรวาลของเรา  
และประมาณว่ามีดวงดาวต่าง ๆ 25 Sextrillion (25 
ตามด้วยศูนย์ 21 ตัว)  ทางช้างเผือกกาแล็กซี่
(The Milky Way)  ที่เราอาศัยอยู่ประกอบด้วยดวงดาว
100 พันล้านดวง  ใหญ่มหึมามาก 
เคลื่อนไหวด้วยความเร็วของแสงจะต้องใช้เวลา 100,000 ปี 
เพื่อเดินทางข้ามจากด้านหนึ่งไปอีกด้านหนึ่ง  
ถ้าเราเขียนแผนที่ของทางช้างเผือกกาแล็กซี่ที่เราอาศัยอยู่  
โดยกำหนดให้โลกกับดวงอาทิตย์เป็นจุดสองจุดให้มีมาตราส่วนห่างกันหนึ่งนิ้ว  
(มาตราส่วนหนึ่งนิ้วเท่ากับ 93 ล้านไมล์ 
เป็นระยะทางห่างจากโลกถึงดวงอาทิตย์)  เราต้องการแผนที่ซึ่งมีความกว้างเท่ากับสี่ไมล์  
เพื่อจะไปถึงตำแหน่งของดวงดาวที่ใกล้ที่สุดและต้องการแผนที่ซึ่งมีความกว้างกับ
25,000 ไมล์ เพื่อไปถึงตำแหน่งศูนย์กลางกาแล็กซี่ของเรา  
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจักรวาลของเราน่าทึ่งมาก
    ขนาดของจักรวาลใหญ่โตมโหฬาร  แบบของจักรวาลน่าทึ่งมาก 
อุณหภูมิภายในดวงอาทิตย์คาดว่าประมาณกว่ากว่า 20 
ล้านองศาเซลเซียส  
โลกของเราอยู่ในตำแหน่งที่ห่างพอดีจากดวงอาทิตย์เพื่อรับความร้อนและรังสีเพื่อชีวิตบนโลกจะคงอยู่ได้  
ถ้าโลกของเราอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์มากกว่าที่เป็นอยู่แค่ 10% 
(ประมาณ 10 ล้านไมล์)  
โลกจะได้รับความร้อนและรังสีจากดวงอาทิตย์สูงมาก  
ขณะเดียวกันถ้าโลกของเราเคลื่อนออกไปไกลจากดวงอาทิตย์ 10%
อุณหภูมิจะลดลงมากจนกลายเป็นน้ำแข็ง  
สภาวะทั้งสองอย่างดังกล่าวทำให้ชีวิตบนโลกอยู่ไม่ได้
    โลกโคจรหมุนรอบแกนตัวเองด้วยความเร็ว 
1,000 ไมล์ต่อชั่วโมงตรงเส้นศูนย์สูตร  
และโคจรรอบดวงอาทิตย์โดยอัตโนมัติด้วยความเร็ว 70,000 
ไมล์ต่อชั่วโมง (ประมาณ 19 ไมล์ต่อวินาที)   
ในเวลาเดียวกันดวงอาทิตย์และดวงดาวต่าง ๆ 
ในระบบสุริยะจักรวาลโคจรในห้วงอากาศด้วยความเร็ว 6,00,000
ไมล์ต่อชั่วโมง  โคจรอยู่ในห้วงจักรวาลซึ่งใหญ่โตมหึมามาก  
คำนวณว่าต้องใช้เวลา 220 ล้านปี  
เพื่อโคจรรอบจักรวาลครบหนึ่งรอบ  ที่น่าสนใจก็คือ ขณะที่โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ 
โลกก็จะเคลื่อนตัวออกไปจากเส้นตรงประมาณ 1ใน 9
ของหนึ่งนิ้วทุก ๆ สิบแปดไมล์  ถ้ามันเกิดเคลื่อนตัวออกไป
1ใน 8 หรือหนึ่งนิ้ว 
โลกเราจะโคจรเข้าไปใกล้ดวงอาทิตย์มากโลกของเราก็จะถูกเผาเป็นจุลไป  
ถ้าเคลื่อนตัวห่างไปแค่ 1 ใน 10 ของหนึ่งนิ้วโลกของเราจะอยู่ไกลจากดวงอาทิตย์มาก 
โลกเราจะเย็นมากจนกลายเป็นน้ำแข็ง  โลกของเราอยู่ห่างจากดวงจันทร์ 240,000 
ไมล์  แรงดึงดูดของดวงจันทร์ทำให้เกิดน้ำขึ้นน้ำลงบนโลกของเรา  
ถ้าดวงจันทร์จะโคจรเข้ามาใกล้โลกของเราประมาณหนึ่งในห้า  
น้ำขึ้นจะมีมากวันละสองครั้ง  และน้ำจะขึ้นสูงประมาณ 35-50 ฟุต 
เหนือระดับผิวโลกจะเกิดอะไรขึ้น   
ถ้าอัตราความเร็วของการหมุนรอบโลกตัวเองจะลดให้ช้าลงเหลือแค่ครึ่งหนึ่ง  
หรือลดลงสองเท่าตัว  ถ้าถูกลดลงครึ่งหนึ่ง ฤดูกาลต่าง ๆ 
ก็จะขยายยาวออกไปอีกสองเท่า 
ซึ่งจะก่อให้เกิดความรุนแรงของความร้อนและความหนาวเย็นบนโลก  
ส่วนมากเป็นการยากหรือแทบเป็นไปไม่ได้ในการที่จะปลูกพืชผักเป็นอาหารเพื่อเลี้ยงพลโลก  
ถ้าโลกของเราหมุนเร็วมากกว่าเดิมสองเท่าฤดูกาลจะถูกลดลงครึ่งหนึ่ง  
ก็จะเป็นเหตุให้การปลูกพืชผลเป็นไปไม่ได้เช่นกัน  
โลกของเราเอียงทำมุมจากแกนของมันเอง 23.5 องศา  
ถ้าตัดการเอียงออกไปให้เหลือเท่ากับศูนย์  
น้ำก็จะมารวมตัวอยู่ที่ขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้  
พื้นที่ซึ่งอยู่ตรงกลางจะกลายเป็นทะเลทราย 
ถ้าชั้นบรรยากาศที่อยู่รอบโลกจะบางลงกว่าเดิมอุกาบาตหรือสะเก็ดดาวจะตกลงมาบนพื้นโลกมากและจะตกลงมาบ่อย 
ๆ มากกว่านี้และจะมีพลังอำนาจในการทำลายล้างโลกของเราอย่างกว้างขวาง
    
มหาสมุทรทำหน้าที่ในการปรับอากาศของโลกอย่างต่อเนื่องทำให้น้ำระเหยกลายเป็นไอ 
และรวมตัวเป็นก้อนเมฆตกลงมาเป็นเม็ดฝน  
ข้อเท็จจริงซึ่งเป็นที่ยอมรับกันว่าความร้อนของน้ำและความเย็นของน้ำมีอัตราที่เปลี่ยนไปอย่างเชื่องช้ามากกว่าบนแผ่นดิน 
ซึ่งเป็นคำอธิบายว่า 
ทำไมบริเวณทะเลทรายจะร้อนมากในเวลากลางวันและหนาวมากในเวลากลางคืน  
อีกประการหนึ่งน้ำรักษาอุณหภูมิได้นานกว่า  
ซึ่งสามารถปรับอากาศตามธรรมชาติตรงบริเวณที่เป็นภาคพื้นดินได้ 
ถ้าสมมุติว่าสี่ในห้าส่วนของโลกไม่ถูกปกคลุมด้วยน้ำการพยากรณ์อากาศล่วงหน้าไม่สามารถทำได้  
อีกประการหนึ่งมนุษย์และสัตว์หายใจเอาออกซิเจนเข้าไปและคายเอาคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาเราพึ่งพาอาศัยพืชในการผลิตออกซิเจนให้มนุษย์และสัตว์หายใจ  
แม้กระนั้นก็ตามคนส่วนมากไม่ได้ตระหนักว่าเกือบ 90% 
ของออกซิเจนที่เราได้รับในปัจจุบันเกิดจากพืชเล็ก ๆ ซึ่งอยู่ในท้องทะเล  
ถ้าสมมุติว่ามหาสมุทรของเราเล็กลงไม่ช้าไม่นานเราก็จะไม่มีอากาศหายใจ 
คนที่มีเหตุผลเชื่อไหมว่าสิ่งเหล่านี้ที่เกิดขึ้นอย่างสลับซับซ้อนซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิตเหล่านี้
"เกิดขึ้นโดยบังเอิญ"  โลกอยู่ห่างจากดวงอาทิตย์ในระยะที่พอดี 
อยู่ห่างจากดวงจันทร์ในระยะที่พอดี  มีเส้นผ่าศูนย์กลางที่พอดี  
มีความดันของชั้นบรรยากาศที่พอดี เอียง 23.5 องศาพอดี  
ปริมาณของน้ำในมหาสมุทรพอดี  มีน้ำหนักและมวลสารพอดี  และความพอดีอื่น ๆ 
อีก  ถ้าข้อกำหนดมากมายเหล่านี้นำมาใช้กับด้านอื่น ๆ 
ของชีวิตแล้วเราเหมาะเอาว่าข้อกำหนดต่าง ๆ เหล่านี้ "เกิดขึ้นโดยบังเอิญ" 
แน่นอนจะถูกปฏิเสธและจะถูกหัวเราะเยาะทันที  แต่แม้กระนั้นก็ตามบางคนยังบอกว่า 
จักรวาล, โลก, รวมทั้งสิ่งมีชีวิตทั้งหลายที่อยู่บนโลกนี้ได้มาอยู่ที่นี่  
ก็เพราะโดยความบังเอิญ  หลายปีมาแล้วนักวิทยาศาสตร์ชื่อดังคนหนึ่งชื่อ จอห์น 
กริบบิน ได้พิมพ์บทความลงในหนังสือสารคดีสรรสาระวิทยาศาสตร์ (Science 
Digest)  ในบทความนั้นท่านได้ย้ำให้เห็นความสำคัญของข้อเท็จจริงต่าง ๆ 
ที่ได้พิจารณาข้างต้น  แต่ตั้งชื่อบทความว่า "โลกที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ" (Earth's 
Lucky Break!)  "นักดาราศาสตร์ชาวอังกฤษชื่อ เซอร์เฟรด โฮเยิล 
ได้กล่าวว่าความไม่มีระเบียบและความบังเอิญอันส่งเดชเป็นต้นเหตุให้เกิดแบบและความมีระเบียบ 
คำกล่าวเช่นนี้ไม่ต่างกับที่พูดว่า 
ลมพายุพัดเอาเหล็กชิ้นเล็กชิ้นน้อยและชิ้นใหญ่มารวมกันกลายเป็นเครื่องบินโบอิง 747 
ที่จะพูดว่าจักรวาลอันมีระเบียบและสลับซับซ้อน 
"เกิดขึ้นโดยบังเอิญเป็นเรื่องเหลือเชื่อจริง ๆ ทางเลือกที่เป็นคำตอบก็คือ 
จักรวาลถูกสร้างโดยผู้มีสติปัญญาซึ่งเป็นนักออกแบบที่ล้ำเลิศ - 
ผู้นั้นก็คือพระเจ้า"
แบบของร่างกายมนุษย์ 
DESIGN OF THE HUMAN BODY
   
หลายปีมาแล้วนักปราชญ์ออกัสติน ได้วิเคราะห์ว่า 
"มนุษย์ท่องเที่ยวไปเพื่อจะดูความสูงของภูเขา, ดูคลื่นมหึมาในทะเล, 
ดูแม่น้ำที่ยาวไกล, ดูมหาสมุทรอันกว้างใหญ่มหาศาล, ดูการเคลื่อนไหวของดวงดาวต่าง ๆ 
แต่เขามองข้ามดูตัวเองโดยไม่อัศจรรย์ใจ"  
เรามองดูจักรวาลของเราด้วยความอัศจรรย์ใจ  
ขณะเดียวกันเรามองข้ามสิ่งที่ถูกสร้างอันมหัศจรรย์ไป สิ่งนั้นก็คือร่างกายของมนุษย์  
สำหรับผู้เหล่านั้นที่ไม่เชื่อว่ามีพระเจ้า  
ร่างกายของมนุษย์ก็เป็นแค่เพียงสิ่งที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ "ที่เกิดจากพ่อแม่"  
"พ่อแห่งกาลเวลา และ แม่แห่งธรรมชาติ"  
ความคิดดังกล่าวไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริง  คนที่มีสติปัญญาที่มีเหตุผล  
สามารถสรุปได้ไหมว่าร่างกายของมนุษย์อันเป็นผลงานจากฝีมือการออกแบบนั้นล้ำเลิศ, 
ที่อัจฉริยะ, ที่มีระบบอันสลับซับซ้อนเกิดขึ้นโดยบังเอิญโดยอาศัยเวลานับล้าน ๆ ปี  
และอาศัยธรรมชาติทำให้เกิดมนุษย์ขึ้นมาตามคำอธิบายของลัทธิที่ไม่เชื่อพระเจ้าอย่างนั้นหรือ? 
อะไรมีเหตุผลมากกว่าที่จะเชื่อว่าร่างกายของมนุษย์เป็นผลจากการออกแบบ  
โดยสติปัญญาของผู้ออกแบบอันยิ่งใหญ่? หรือเกิดขึ้นมาโดยบังเอิญ?  
ร่างกายของมนุษย์สามารถพิจารณาได้เป็นสี่ส่วน  ส่วนแรกคือส่วนที่เป็นเซลล์  
เป็นหน่วยเล็ก ๆ ที่สุดของชีวิต  ส่วนที่สองคือส่วนที่เป็นเนื้อเยื่อต่าง ๆ 
(กล้ามเนื้อ, เนื้อเยื่อประสาท ฯลฯ)  
ซึ่งเป็นเซลล์กลุ่มเดียวกันที่ทำหน้าที่อย่างเดียวกัน  ส่วนที่สามคือ 
ส่วนที่เป็นอวัยวะต่าง ๆ (หัวใจ, ตับ ฯลฯ)  
ซึ่งเป็นกลุ่มเนื้อเยื่อที่ทำงานสัมพันธ์กันเป็นอย่างดี  ส่วนที่สี่ 
คือส่วนที่เป็นระบบต่าง ๆ (ระบบสืบพันธุ์, ระบบการหมุนเวียนโลหิต ฯลฯ)  
ซึ่งประกอบด้วยอวัยวะต่าง ๆ ซึ่งทำหน้าที่โดยเฉพาะในระบบร่างกาย  
บทเรียนนี้เราไม่มีพื้นที่มากพอที่จะพิจารณาส่วนประกอบของร่างกายอื่น ๆ 
ทั้งหมดแต่เพียงพิจารณาดูร่างกายของมนุษย์บางส่วนเท่านั้น 
เราสามารถสรุปได้ว่ามีสติปัญญาอยู่เบื้องหลังในการออกแบบอวัยวะในร่างกายของมนุษย์อันมหัศจรรย์นี้
    
ร่างกายของมนุษย์ประกอบด้วย เซลล์ชนิดต่าง ๆ มากกว่า 250 ชนิด (เซลล์เม็ดเลือดแดง, 
เซลล์เม็ดเลือดขาว, เซลล์ประสาท ฯลฯ)  รวมเซลล์ชนิดต่าง ๆ มีทั้งสิ้นประมาณ 
100 ทิลเลียน (เท่ากับ 1 ตามด้วยเลขศูนย์ 19 ตัว)  ในร่างกายของผู้ใหญ่ 
เซลล์ต่าง ๆ เหล่านี้มีทั้งรูปร่างและขนาดต่าง ๆ กันและทำหน้าที่ต่าง ๆ กัน 
ตัวอย่างเช่น เซลล์สเปอร์มของผู้ชาย เล็กมาก (เซลล์แต่ละเซลล์ยาว 0.05 ม.ม. 
เท่านั้น)  ถ้ามีเซลล์ชนิดนี้รวมกัน 20,000 เซลล์สามารถบรรจุในตัวอักษร "อ" 
ด้วยเครื่องพิมพ์ดีดขนาดมาตรฐาน  เซลล์บางชนิดถ้าเอาเซลล์ทั้งสิ้นประมาณ 6,000 
เซลล์ เอาหัวท้ายมาต่อเรียงกันจะยาวเท่ากับหนึ่งนิ้ว  
แต่ถ้าเราเอาเซลล์ของมนุษย์ทั้งหมดมาต่อเรียงกันจะยาวรอบโลกได้ 200 รอบ  
แม้ว่าเซลล์ที่ใหญ่ที่สุดของมนุษย์คือเซลล์ที่เป็นไข่ของเพศหญิง 
เล็กมากมีเส้นผ่าศูนย์กลางเท่ากับ 0.01 นิ้วเท่านั้น  เซลล์ประกอบด้วยสามส่วน  
ส่วนแรกแต่ละเซลล์มีเยื่อแผ่นบาง ๆ (membrane) 
ที่หุ้มอยู่รอบ ๆ เซลล์  ส่วนที่สองคือส่วนที่เป็นภายในของเซลล์คือไซโตปลาสซึม 
(Cytoplasm) มีลักษณะเป็นของเหลว 
ส่วนที่สามคือส่วนที่อยู่ภายในไซโตปลาสซึม 
คือนิวเคลียสซึ่งประกอบด้วยตัวกำหนดของยืนเป็นหน่วยศูนย์ควบคุมของเซลล์  
เซลล์เมมเบรนหรือแผ่นเนื้อเยื่อที่หุ้มเซลล์หนาประมาณ 0.06-0.08 ไมโครมิเตอร์  
แต่สามารถลำเรียงเซลล์ที่เลือกเข้าและออกได้ภายในไซโตปลาสซึม  
มีการทำปฏิกิริยาทางเคมี 20 ชนิด  ซึ่งเกิดขึ้นพร้อม ๆ กันในเวลาเดียวกัน  
แต่ละเซลล์มีห้าส่วนใหญ่ ๆ ซึ่งทำหน้าที่ (1)สื่อสาร  (2)กำจัดของเสีย  
(3)สารอาหาร  (4)ซ่อมแซม  (5)แพร่พันธุ์  ภายในของเหลวยังมีอณูเล็ก 
เช่น ไมโตคอนเดรีย (Mitochondria)  (มีมากกว่า 
1,000 ตัวแต่ละเซลล์)  ซึ่งทำหน้าที่ในการให้พลังงานแก่เซลล์ และริโบโซม (ribosome's)  
ซึ่งเป็นโรงงานผลิตโปรตีนโกลกิ (Golgi)  
ทำหน้าที่ในการเก็บรวบรวมโปรตีนที่ผลิต  โดยริโบโซม (ribosome) 
ขณะเดียวกันไลโซโซมซึ่งอยู่ภายในไซโตปลาสซึมทำหน้าที่ในการขจัดของเสีย
    นิวเคลียส (nucleus)  
เป็นศูนย์กลางควบคุมเซลล์ซึ่งแยกส่วนจากไซโตปลาสซึม  โดยเยื่อหุ้มนิวเคลียสเมมเบรน  
ภายในนิวเคลียสมีกลไกทางพันธุกรรมของเซลล์ (chromosomes 
และยีนประกอบด้วย deoxyribonucleic acid เขียนคำย่อว่า
DNA)  DNA 
เป็นซุปเปอร์โมเลกุลพิเศษมีรายละเอียดของรหัสในการถ่ายทอดแบบของเซลล์  ถ้า
DNA จากเซลล์มนุษย์หนึ่งเซลล์ถูกย้ายออกไปจากนิวเคลียส 
และถ้าคลาย DNA ออก (ในเซลล์จะขดเป็นเกลียว) 
จะมีความยาวประมาณสามฟุต และประกอบด้วยชีวะเคมี 3 พันล้านขั้นตอน  
พร้อมที่จะทำปฏิกิริยาเคมี (รู้จักกันว่า "base pairs") 
มีการคำนวณว่าถ้า DNA 
ทั้งหมดในร่างกายของบุรุษคนหนึ่งนำมาต่อเรียงกันจะมีความยาวไปถึงดวงอาทิตย์ไปและกลับ 
(186ล้านไมล์) ได้ 400 ครั้ง
   
ข้อที่ควรสังเกตก็คือว่าโมเลกุลของ DNA 
ทำสิ่งที่มนุษย์เองยังไม่ประสบความสำเร็จ  DNA 
เก็บรหัสข้อมูลต่าง ๆ ในรูปแบบทางเคมีและใช้กลไกทางชีวะ  
biologic agent (RNA) ในการถอดรหัสและทำปฏิกิริยา 
เทคโนโลยีที่ล้ำยุคของมนุษย์ไม่สามารถที่จะคิดค้นวิธีที่จะถอดรหัสในทางเคมีได้ 
ถ้ารหัสทางเคมีเขียนเป็นตัวอักษรในภาษาอังกฤษ DNA  ของมนุษย์เพียงแค่หนึ่งเซลล์รหัสทางเคมีจะสามารถบรรจุเป็นหนังสือสารานุกรมประมาณได้ 
2,000 เล่ม เล่มละ 300 หน้า 
สิ่งที่น่าอัศจรรย์ก็คือรายะเอียดเกี่ยวกับยีนหรือพันธุกรรมทั้งหมดสามารถผลิตมนุษย์ที่อยู่ในโลกทั้งหมดได้ 
(ประมาณหกพันล้านคน) รหัสทางเคมีของ DNA 
ดังกล่าวนั้นสามารถนำมารวมกันและบรรจุที่มีปริมาตรแค่หนึ่งในแปดของหนึ่งนิ้วเท่านั้น 
คาร์ล ซาแกน (Carl Sagan) 
ผู้ที่เชื่อทฤษฎีวิวัฒนาการยุคนี้แห่งมหาวิทยาลัย Cornell 
University ได้เขียนไว้ในหนังสือสารานุกรรม 
Encyclopaedia Britannica เมื่อไม่นานมานี้เขากล่าวว่า 
เซลล์แบคทีเรียหนึ่งเซลล์ประกอบด้วยข้อมูลถึงหนึ่ง trillion 
bits (1ตามด้วยเลขศูนย์ 19 ตัว) 
เพื่อเน้นให้เห็นว่าเซลล์แบคทีเรียเพียงหนึ่งเซลล์สามารถบรรจุข้อมูลมากมาย
Dr.
Sagan ได้ชี้ให้เห็นว่า 
ถ้าคนหนึ่งจะนับตัวอักษรทุกคำของหนังสือทุกเล่มในห้องสมุดที่ใหญ่ที่สุดในโลก 
(มากกว่า 10 ล้านเล่ม) เมื่อนับได้ทั้งหมดนำมารวมกันจะได้ตัวอักษรหนึ่ง 
Trillion (1ตามด้วยเลขศูนย์ 19 ตัว)  
ในเมื่อเซลล์แค่หนึ่งเซลล์มีข้อมูลเท่ากับจำนวนหนังสือในห้องสมุดที่ใหญ่ที่สุดในโลกถึงสิบล้านเล่ม 
คนที่มีเหตุผลยอมรับว่าไม่มีหนังสือในห้องสมุดสักเล่มเดียว 
"เกิดขึ้นมาเองโดยบังเอิญ" แต่หนังสือทุก ๆ 
เล่มเป็นผลของผู้มีสติปัญญาในการออกแบบด้วยความประณีต
    
ถ้าเช่นนั้นเราจะสรุปว่าอย่างไรกันรหัสของยีนหรือพันธุกรรมซึ่งพบใน
DNA ที่มีอยู่ในทุก ๆ เซลล์ความสลับซับซ้อนของโมเลกุล
DNA รวมทั้งจำนวนของรหัสข้อมูลทางเคมีอันน่าทึ่งเหล่านี้พิสูจน์ว่า "ซุปเปอร์โมเลกุล" ดังกล่าวไม่สามารถเกิดขึ้นเองโดยบังเอิญ 
หลักฐานข้อมูลเหล่านี้ทำให้สรุปว่าต้องมีผู้ที่มีสติปัญญาซึ่งอยู่เบื้องหลังในการออกแบบอย่างแน่นอน
แบบในอาณาจักรของสัตว์ 
DESIGN IN THE ANIMAL KINGDOM
    
คนที่มีอารมณ์สุนทรีในการส่องกล้องดูนกจะมีความรัก 
และชื่นชมกับนกนานาชนิดมีสีสันแต้มแต่งอย่างวิจิตรพิสดารอันเป็นหลักฐานของการมีแบบ 
ตัวอย่างสองประการในเนื้อความต่อไปนี้ 
เป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นการออกแบบที่วิจิตรสวยงามในอาณาจักรของสัตว์
THE BIRDS WITH A THERMOMETER IN ITS BEAK
   
พวกเราคงจำได้เมื่อเวลาเราป่วย  
เราวัดอุณหภูมิในร่างกายของเราบางทีเราต้องเอาเทอร์โมมิเตอร์ใส่ไว้ใต้ลิ้นนานถึง 60 
วินาที  ปัจจุบันด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด 
ได้ประดิษฐ์เทอร์โมมิเตอร์ชนิดใหม่ 
ที่สามารถวัดอุณหภูมิโดยใส่ในช่องหูเพียงไม่กี่วินาทีสามารถรู้ผลได้ 
แต่ยังมีนกท้องถิ่นออสเตรเลียเรียกว่านกมอลลี 
นกชนิดนี้มีเทอร์โมมิเตอร์อยู่ที่ลิ้นของมัน  
ซึ่งสามารถวัดอุณหภูมิได้อย่างแม่นยำมากกว่าสิ่งที่มนุษย์ได้ประดิษฐ์ขึ้น
    เมื่อถึงเวลาที่นกมอลลีเพศเมียจะวางไข่ 
เจ้านกมอลลีเพศผู้จะขุดหลุมบนพื้นดินและจะเอากิ่งไม้ใบหญ้ามาวางไว้ที่ก้นหลุม  
แล้วก็ปกปิดกิ่งไม้ใบหญ้าในหลุมนี้ด้วยทราย  
บางครั้งนกใช้ทรายสุมเป็นกองสูงถึงสี่ฟุต  
ทรายที่ปิดด้านบนทำให้กิ่งไม้ใบหญ้าค่อย ๆ ผุเปื่อยลงซึ่งผลิตความร้อนขึ้นมา  
นกมอลลีเพศผู้จะใช้จะงอยปากทำช่องอากาศหนึ่งช่องด้านบนของรังแล้วนกมอลลีเพศเมียจะวางไข่หนึ่งฟอง 
อีกหนึ่งสัปดาห์ต่อมานกมอลลีเพศผู้ก็จะเจาะช่องอากาศเพิ่มอีกหนึ่งช่องแล้วนกมอลลีเพศเมียก็จะวางไข่อีกหนึ่งฟอง  
กระบวนการนี้จะดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งในรังมีไข่ประมาณ 18 ฟอง 
ในเวลากลางวันนกมอลลีเพศผู้จะมาเยี่ยมรังหลายครั้ง  
มันจะใช้จะงอยปากยื่นเข้าไปในรังแล้วมันจะแลบลิ้นของมันเข้าไปในรูซึ่งเป็นเทอร์โมมิเตอร์ดีมาก  
สามารถวัดอุณหภูมิในรังที่มีการเปลี่ยนแปลงถึง 1/10 ของหนึ่งองศา  
ถ้าภายในรังนกที่เป็นมูลทรายร้อนเกินไป นกมอลลีเพศผู้ก็จะเอาทรายออกไปบ้าง  
ถ้าเย็นเกินไปมันก็จะเอาทรายมาเพิ่มอีก  
หลังจากเจ็ดสัปดาห์ในการทำภารกิจเหล่านี้ลูกนกก็โผล่ออกมาจากไข่ 
นกมอลลีรู้จักอุณหภูมิที่ควรจะเป็นเท่าไรในการรักษาไข่อย่างเที่ยงตรงได้อย่างไร?
 มันรู้ได้อย่างไรว่ากิ่งไม้ใบหญ้าที่ปกคลุมด้วยทรายจะผลิตความร้อนเพิ่มขึ้น?  
และลิ้นของมันสามารถวัดอุณหภูมิที่มีการเปลี่ยนแปลได้ 1/10 ของหนึ่งองศา? 
 คำตอบง่ายมากนกมอลลีถูกออกแบบขึ้นมา ถ้ามีแบบแสดงว่าต้อง มีผู้ออกแบบ!!!
ด้วงมีระเบิดติดอยู่ที่หน้าท้องของมัน THE BEETLE WITH A BOMB 
IN ITS BELLY
  
  
ด้วงเป็นสัตว์ชนิดหนึ่งที่มีระเบิดติดอยู่ที่หน้าท้องของมัน   
ซึ่งเป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นความมหัศจรรย์ในการออกแบบ 
มันมีกลไกที่สามารถป้องกันตนเองได้อย่างเฉียบพลัน กลไกทำปฏิกิริยาดังต่อไปนี้  
สารเคมีสองอย่างคือ ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ และไฮโดรควีโนเนส (Hydrogen 
peroxide และ Hydroquinones) 
สารเคมีทั้งสองดังกล่าวผลิตขึ้นโดยต่อมในตัวด้วงแล้วมันเก็บสารเหล่านี้ไว้ตามบริเวณท้องของมัน 
เมื่อตัวด้วงถูกรังแก 
กล้ามเนื้อก็จะส่งสัญญาณไปที่กลไกให้สารเคมีทำปฏิกิริยาเกิดขึ้นมันจะขับเอาสารที่เรียกว่า
peroxidases และ catalases (oxidative 
enzymes) พวก enzymes เหล่านี้ทำปฏิกิริยากับ 
ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ และทำปฏิกิริยากับไฮโดรควีโนเนสให้เป็น p-benzozuinones-compounds
เป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่าเป็นสารที่ทำให้เกิดอาการปวดแสบปวดร้อน 
ปฏิกิริยาของสารเคมีเป็นผลทำให้ขับออกซิเจนอิสระกับความร้อนออกไป 
เจ้าด้วงเมื่อถูกศัตรูรบกวนมันจะพ่นสารพิษออกจากป้อมปืนที่หมุนได้ 
อยู่ที่หน้าท้องของมัน มันสามารถพ่นเอาสารพิษออกด้วยความร้อน 212 องศาฟาเรนไฮต์ 
กลไกที่พ่นออกไปสามารถพ่นเข้าใส่คู่ต่อสู้ 500 ครั้งต่อหนึ่งวินาที  
ท่านจินตนาการดูซิว่า 
พยายามจะอธิบายการออกแบบอันน่าทึ่งที่มีกลไกอันละเอียดและสลับซับซ้อนว่าสิ่งเหล่านี้ 
"เกิดขึ้นโดยบังเอิญตามกระบวนของการวิวัฒนาการ" 
ที่เกิดขึ้นได้ต้องอาศัยเวลานับล้านปีในการที่ธรรมชาติจะวิวัฒนาการมาได้ถึงแค่นี้ 
ข้อเท็จจริงก็คือ สติปัญญาเท่านั้นที่สามารถออกแบบได้ 
สามารถอธิบายว่าตัวด้วงสามารถผลิตสารเคมีกักตุนเอาไว้ในห้องเก็บ 
เมื่อต้องการใช้มันจึงผลิต enzymes 
ที่เป็นพิษพ่นเข้าใส่หน้าศัตรูของมันทำให้เกิดอาการปวดแสบปวดร้อนได้
สรุป
    
คนที่มีปัญหายุ่งยากในการเข้าใจเรื่องวิจิตรพิสดารของการออกแบบเหล่านี้คือ 
"ผู้เหล่านั้นที่ปฏิเสธว่าไม่มีพระเจ้า" (โรม 1:28) คนเช่นนั้นแหละองอาจกล่าวว่า 
"ไม่มีผู้ออกแบบ"  แต่ข้อโต้แย้งของพวกเขาไม่สามารถเป็นที่ยอมรับได้ 
 ไม่มีบทประพันธ์โดยไม่มีนักประพันธ์  ไม่มีกฎหมายโดยไม่มีผู้บัญญัติกฎหมาย  
ไม่มีภาพอันวิจิตรงดงามโดยไม่มีจิตกร  ไม่มีดนตรีที่ไพเราะโดยไม่มีนักแต่งเพลง  
ที่แน่มากยิ่งกว่าแน่ก็คือว่า 
แบบอันวิจิตรพิสดารที่เห็นรอบตัวเรานี้ต้องมีผู้ออกแบบแน่นอน  
นับตั้งแต่แบบของจักรวาลที่ใหญ่ที่สุดจนถึงเซลล์ที่เล็กที่สุด 
เป็นการถูกต้องและมีเหตุผลที่สามารถสรุปได้โดยอาศัยกฎของการหาเหตุผลว่า (Law 
of Rationality) มีพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์
ตอบคำถาม คลิกที่นี่  https://docs.google.com/forms/d/10q-hdGxsfbjDB-F_Oez3NHMgiq-jS4xEgd-ty4y5mj4/viewform
 
