พระเจ้าคาดหวังอะไรจากข้าพเจ้า? WHAT DOES GOD EXPECT OF
ME?
"พระยะโฮวาเจ้าได้ทรงสร้างมนุษย์ด้วยผงคลีดิน
ระบายลมแห่งชีวิตเข้าทางจมูกให้มีชีวิตหายใจเข้าออก
มนุษย์จึงเกิดเป็นจิตต์วิญญาณมีชีวิตอยู่" (เยเนซิศ 2:7)
ในบรรดาสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่บนพื้นพิภพโลก
มนุษย์เท่านั้นที่ถูกสร้างขึ้นให้เป็นตาม "แบบพระฉายาของพระเจ้า"
ในวันที่หกแห่งการทรงสร้างพระเจ้าตรัสว่า
"พระเจ้าทรงดำริว่าจงให้เราสร้างมนุษย์ตามแบบฉายาของเราให้ครอบครองฝูงปลาในทะเล
ฝูงนกในอากาศและฝูงสัตว์ใช้ ให้ปกครองแผ่นดินทั่วไป
และสรรพสัตว์ที่เลื้อยคลานบนแผ่นดินทั้งสิ้น
พระเจ้าจึงทรงสร้างมนุษย์ขึ้นตามแบบฉายาของพระองค์
และตามแบบฉายาของพระองค์นั้นพระเจ้าได้ทรงสร้างมนุษย์ขึ้น
และได้ทรงสร้างให้เป็นชายและหญิง" (เยเนซิศ 1:26-27)
การหลงกระทำผิด :
การไม่เชื่อฟังและความตาย
MAN'S PREDICAMENT :
DISOBEDIENCE AND DEATH
เป็นที่น่าเสียใจที่มนุษย์ชายหญิงคู่แรกได้ใช้เสรีภาพในการเลือกไปในทางกบฏไม่ยอมเชื่อฟังพระเจ้าผู้ทรงสร้าง
มนุษย์ได้เลือกทำสิ่งที่ผิดพลาดร้ายแรง
ดังนั้นมนุษย์จึงตกอยู่ในสภาวะที่พระคัมภีร์เรียกว่า "ความบาป"
พระคัมภีร์ได้บอกเรื่องราวของการที่มนุษย์ได้ก้าวเข้าไปสู่การล่วงละเมิดและได้นำความบาปเข้ามาในโลกครั้งแรกโดยอาดามกับฮาวา
(เยเนซิศ 3) หลังจากอาดามกับฮาวา มนุษย์ที่เกิดมาก็ได้ทำความผิดบาป
"ไม่มีผู้ใดซึ่งไม่มีผิดเลย" (1กษัตริย์ 8:46)
ผู้พยากรณ์ยะซายาได้กล่าวแก่พลไพร่ของพระเจ้าว่า
"แต่ความอสัตย์อธรรมของเจ้าต่างหากที่เป็นเครื่องมือกีดกั้นระหว่างเจ้ากับพระเจ้าของเจ้าและความผิดทั้งหลายของเจ้าได้บังพระพักตร์ของพระองค์ไว้จากเจ้า
เราจึงยินเจ้าไม่ได้" (ยะซายา 59:2)
ในพระคัมภีร์ใหม่ก็เช่นเดียวกันสอนไว้อย่างชัดเจนเรื่องการพิพากษาโทษของความบาปเหมือนกับพระคัมภีร์เดิม
อัครสาวกโยฮันได้เขียนว่า
คนใดที่กระทำบาปก็ผิดพระบัญญัติด้วยและการบาปเป็นที่ผิดพระบัญญัติ" (1โยฮัน 3:4)
ดังนั้นคำจำกัดความของความบาปก็คือการละเมิดพระบัญญัติของพระเจ้า
อันที่จริงเปาโลกล่าวว่า
"เหตุว่าพระบัญญัตินั้นกระทำให้ทรงพระพิโรธแต่ว่าถ้าไม่มีพระบัญญัติความผิดพระบัญญัติก็จะไม่มี"
(โรม 4:15) ถ้าพระเจ้าไม่ได้ตั้งพระบัญญัติไว้ก็จะไม่มีการละเมิดพระบัญญัติ
แต่พระเจ้า ได้ทรงตั้ง พระบัญญัติของพระองค์ขึ้นมนุษย์ได้ฝ่าฝืนเลือกที่จะ
ละเมิด พระบัญญัติของพระเจ้า เปาโลได้หยิบยกพระคัมภีร์เดิมมากล่าวเสียใหม่มีใจความว่าดังนี้
"เหตุว่าคนทั้งปวงได้ทำผิดทุกคน และขาดการถวายเกียรติยศแก่พระเจ้า" (โรม 3:23)
เนื่องจากผลของความบาป สถานะภาพของมนุษย์จึงตกอยู่ในสภาพที่เลวร้ายอย่างสาหัส
ยะเอศเคลผู้พยากรณ์ได้วิงวอนว่า "จิตวิญญาณที่ทำบาปจิตวิญญาณนั้นจะตาย" (ยะเอศเคล
18:20) พระคัมภีร์ใหม่ได้เขียนสอดคล้องกับพระคัมภีร์เดิม เปาโลได้เขียนว่า
"เหตุฉะนั้นก็เช่นเดียวกับที่ความผิดได้เข้ามาในโลกเพราะคน ๆ เดียว
และความตายก็เกิดมาเพราะความผิดนั้น
อย่างนั้นแหละความตายจึงได้ลามไปถึงคนทั้งปวงเพราะคนทั้งปวงเป็นคนผิดอยู่แล้ว" (โรม
5:12) และเปาโลได้กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า "ค่าจ้างของความบาปคือ
ความตาย" (โรม 6:23)
ยาโกโบอีกท่านได้เขียนว่า
"แต่ว่าทุกคนก็ถูกล่อลวงเมื่อตัณหาของตัวชักนำตนให้กระทำผิด แล้วตัวก็กระทำตาม
ครั้นตัณหาได้ปฏิสนธิแล้วจึงบังเกิดความผิด
และความผิดนั้นเมื่อโตเต็มขนาดแล้วจึงเกิดความตาย" (ยาโกโบ 1:14-15)
ผลจากการที่มนุษย์ได้ทำบาป พระเจ้าได้สาปแช่งให้มนุษย์ทั้งหลายตกอยู่ในความตาย
มนุษย์ทั้งชายและหญิงจะต้องตาย ฝ่ายร่างกาย
อันเป็นผลสืบเนื่องจากความบาปของอาดามกับฮาวา พร้อมกันนี้ทุกคนจะต้องตาย
ฝ่ายวิญญาณจิตต์ เนื่องจากความบาปที่เขาหรือเธอได้ทำไว้ตามความหมายทางฝ่ายวิญญาณจิตต์
แต่ละคนจะต้องรับผิดชอบความบาปของตนเอง
มีคำสอนของคนบางกลุ่มที่สอนว่าความบาปเป็นมรดกตกทอดมาจากความบาปของอาดาม
คำสอนนี้ผิด เราไม่ได้รับมรดก ความบาป ที่ตกทอดมายังเรา แต่ ผลของความบาป
ตกทอดมาถึงเรา ทั้งสองคำมีความหมายแตกต่างกันมาก
พิจารณาอุทาหรณ์หนึ่งอย่าง
เพื่อชี้ให้เห็นประเด็นนี้ผู้เป็นพ่อของครอบครัวหนึ่งดื่มเหล้าเมากลับมาบ้านได้ตีลูกเมียของตัวเองทำให้ลูกเมียต้องเจ็บปวดเพราะผลของความบาปจากการเมาเหล้าของผู้เป็นสามี
แต่ที่จะตอบว่าเมียกับลูกเจ็บปวดเพราะความบาปของตนเป็นเรื่องไร้สาระ
หลักการเดียวกันนี้สามารถอธิบายในด้านฝ่ายวิญญาณจิตต์คนส่วนมากตายฝ่ายร่างกายเพราะความบาปของอาดาม
แต่เขาตายฝ่ายวิญญาณจิตต์ที่เขาได้ล่วงละเมิดพระบัญญัติของพระเจ้าต่างหาก
ในหนังสือยะเอศเคล 18:20 ซึ่งได้หยิบยกมากล่าวไว้ตอนต้นครั้งหนึ่งแล้ว ยะเอศเคลได้กล่าวต่อไปอีกว่า
"จิตต์วิญญาณที่กระทำบาป จิตต์วิญญาณนั้นจะตาย
แลบุตรจะมิได้แบกซึ่งบาปโทษแห่งบิดานั้น บิดาจะมิได้แบกซึ่งบาปโทษแห่งบุตรนั้น
ความชอบธรรมแห่งผู้ชอบธรรมจะอยู่ในตัวเอง ความชั่วแห่งคนชั่วจะอยู่ในตัวเอง"
โครงการของพระเจ้าในการขจัดความบาป GOD'S REMEDY FOR SIN
เมื่อมนุษย์ได้รับผลกระทำจากความบาป
แม้ว่ามนุษย์จะตกอยู่ในสภาพที่เลวร้าย หรือน่าเวทนาสักปานใดอันที่จริงพระจ้า
ไม่จำเป็นต้อง เตรียมหนทางแก้ไขเพื่อให้มนุษย์ได้รับความรอดพ้นจากบาป
เพราะการกระทำของมนุษย์ที่ไม่รู้จักขอบพระคุณพระเจ้า ที่หันหลังให้พระเจ้า
หันหลังให้พระบัญญัติของพระองค์ หันหลังให้ความรักของพระองค์
และหันหลังให้ไม่แยแสต่อพระเมตตาของพระองค์
ทำไมพระเจ้าจะต้องใช้เวลาอันยาวนาน เพื่อจะช่วยให้มนุษย์หลุดพ้นจากบาป?
ไม่ว่าคำตอบจะเป็นอย่างไรก็ตามไม่เป็นที่น่าสงสัยเลยว่าพระเจ้าผู้ทรงสร้างได้ทรงทุ่มเทเพื่อช่วยให้มนุษย์หลุดพ้นจากความบาป
พระองค์ได้ทำอย่างนี้ก็เพราะด้วยเหตุผลอันเดียวคือ
โดยความรักอันบริสุทธิ์ของพระองค์ในฐานะที่พระองค์เป็นพระเจ้าแห่งความรัก (1โยฮัน
4:8)
พระองค์ได้เตรียมโครงการไถ่โทษเพราะพระองค์มีความรักและความห่วงใยในสถานะภาพของมนุษย์
ไม่ใช่เป็นเพื่อความปรารถนาของพระองค์เอง
แต่เพื่อมนุษย์ที่พระองค์ได้ทรงสร้าง ขอให้เรายอมรับความรักด้วยความจริงใจ
ความรักของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์นั้นเรา ไม่สมควรจะได้รับเลย
พระคัมภีร์ได้กล่าวไว้อย่างชัดเจนว่าพระเจ้า ตัดสินใจที่จะประทานความรอด
"หนทางที่จะกลับบ้าน" ให้เรา แม้ว่าเราเป็นคนอสัตย์อธรรม
เป็นคนบาปและเป็นศัตรูกับพระเจ้า (โปรดสังเกตคำต่าง ๆ ที่ปรากฏอยู่ในหนังสือโรม
5:6-10) อัครสาวกโยฮันมีความยินดีเพราะว่า "ในข้อนี้แหละเป็นความรัก
ไม่ใช่ที่เรารักพระเจ้า แต่ที่พระองค์ได้ทรงรักเรา" (1โยฮัน 4:10)
ความรักของพระเจ้าสากล
พระองค์ไม่ทรงเลือกหน้าผู้ใด (โยฮัน 3:16)
พระองค์ต้องการให้มนุษย์ทุกคนรอดพ้นจากบาป (1ติโมเธียว 2:4)
หมายความว่าถ้าเขาเลือกอย่างนั้น (โยฮัน 5:40)
เพราะว่าพระเจ้าไม่ต้องการให้คนหนึ่งคนใดพินาศ (2เปโตร 3:9)
ความรักของพระเจ้าไม่มีวันสิ้นสุด (อ่าน โรม 8:35-39)
และจงชื่นชมยินดีเพราะพระเจ้าทรงสำแดงความรักแก่มนุษย์ทุกคน
แต่มีบางคนดื้อด้านเลือกที่จะต่อต้านพระเจ้าและไม่ยอมสนองต่อความรักอันมหัศจรรย์ของพระองค์
โครงการแห่งความรอดของพระเจ้า-ในการปฏิบัติ
GOD'S PLAN OF
SALVATION - IN ACTION
คุณสมบัติของพระเจ้าประการหนึ่งคือพระองค์ทรง เป็นผู้บริสุทธิ์ (ดูหนังสือ วิวรณ์
4:8, ยะซายา 6:3) เพราะพระองค์เป็นผู้บริสุทธิ์
ดังนั้นพระองค์ไม่สามารถและไม่อาจมองข้ามความบาปของมนุษย์ได้ ผู้พยากรณ์ฮะบาฆูคกล่าวว่า
"พระเนตรของพระองค์อันบริสุทธิ์จะแลดูการชั่ว
แลจะพิจารณาความเบียดเบียนประทุษร้ายก็ไม่ได้
เหตุไฉนพระองค์จึงทรงทอดพระเนตรดูคนผู้กระทำคดโกง
แลนิ่งเงียบเสียเมื่อคนบาปนั้นกัดกินคนดีผู้ชอบธรรมนั้นยิ่งกว่าตัว" (ฮะบาฆูค 1:13)
คุณสมบัติของพระเจ้าอีกประการคือ พระองค์ ยุติธรรม
ความชอบธรรมและความยุติธรรมเป็นรากฐานบัลลังก์ของพระเจ้า (บทเพลงสรรเสริญ 89:14)
ความจริงที่เราต้องยอมรับอันเกิดจากข้อเท็จจริงที่ว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้บริสุทธิ์และทรงเป็นผู้ยุติธรรม
ดังนั้น ความบาปจะต้องมีการลงโทษ ถ้าพระเจ้าเป็นพระเจ้าที่ใจโหดและเคียดแค้น
(เหมือนพวกป่าเถื่อนที่ไม่เชื่อฟังพระเจ้าพูดผิดเกี่ยวกับพระเจ้า)
ถ้าเช่นนั้นก็คงจะขจัดมนุษย์ให้พ้นไปจากพระองค์โดยสิ้นเชิงตลอดกาล
นั้นก็หมายความว่าเป็นจุดจบของมนุษย์ชาติ
แต่ความจริงก็คือว่าพระองค์ไม่ได้เป็นพระเจ้าอย่างนั้น
พระเจ้าของเราเป็นพระเจ้าที่ทรงเต็มไปด้วยความรัก (1โยฮัน 4:8)
และเต็มไปด้วยความเมตตา" (เอเฟโซ 2:4) เพราะฉะนั้นปัญหาจึงเกิดขึ้นว่า
พระเจ้าที่เต็มไปด้วยความรักและพระเจ้าแห่งความเมตตาจะสามารถยกโทษมนุษย์ที่กบฏพยศต่อพระเจ้าอย่างไร?
อัครสาวกเปาโลได้บรรยายเรื่องนี้ไว้ในหนังสือโรมบทที่3
พระเจ้าจะเป็นพระเจ้าที่ยุติธรรมและจะยกความผิดบาปของมนุษย์ไปได้อย่างไร?
คำตอบคือพระเจ้าหาผู้ที่จะมายอมรับโทษแทนเรา "ผู้นั้น"
ก็คือพระเยซูคริสต์เจ้าพระบุตรของพระเจ้า พระองค์ยอมสละพระชนม์ของพระองค์
ยอมเป็นเครื่องบูชาไถ่โทษแทนเรา
พระองค์เป็นผู้ชำระค่าราคาเพื่อมนุษย์จะได้รับความรอด
ยะซายาได้บรรยายถึงความเจ็บปวดรวดร้าวของพระเยซูพระบุตรของพระเจ้าในการรับโทษแทนมนุษย์ไว้ดังนี้
"เขาผู้นั้นถูกเจ็บเป็นบาดแผลก็เพราะการล่วงละเมิดของพวกเรา
และถูกฟกช้ำก็เพราะความอสัตย์อธรรมของพวกเรา
การลงโทษเพื่อให้เกิดความสุขแก่พวกเราไปตกอยู่กับเขาผู้นั้น
และที่พวกเราหายเป็นปกติได้ก็เพราะรอยแผลเฆี่ยนของเขาผู้นั้น
เราทั้งหลายได้หลงทางไปเสียแล้วเช่นเดียวกับแกะ
เราต่างคนก็หันไปตามทางของตนเอง
และพระยะโฮวาทรงให้บาปผิดทั้งหมดของพวกเราตกอยู่กับเขาผู้นั้น" (ยะซายา 53:5-6)
พระประสงค์ของพระเจ้าต้องการสำแดงพระกรุณาธิคุณและพระเมตตาเพื่อไถ่โทษบาปของมนุษย์โดยยอมให้พระบุตรของพระองค์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน
(โรม 3:24-26)
"พระเยซูพระองค์เองทรงมีสภาพเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแต่ทรงสละพระองค์เอง
ยอมบังเกิดเป็นมนุษย์ปุถุชนธรรม และสัมผัสกับความเป็นมนุษย์เหมือนเราทุกรูปแบบ
พระองค์ทรงถูกทดลองทุกรูปแบบเหมือนเราทั้งหลาย
แต่พระองค์ไม่ได้ทรงกระทำบาปแต่ประการใด" (เฮ็บราย 4:15)
โครงการแห่งความรอดของพระเจ้า -
มนุษย์จะต้องทำประการใด?
GOD'S PLAN OF SALVATION - WHAT
MANKIND MUST DO?
แม้ว่าพระเจ้าจะประทานความรอดให้มนุษย์ แต่ความรอดไม่ใช่ ปราศจากเงื่อนไข
มนุษย์มีบทบาทในการรับผิดชอบด้วยในโครงการนี้
ถึงแม้ว่าพระเจ้าประทานความรอดให้โดยไม่คิดค่าอะไรจากเขา
(ตามความหมายที่ว่าค่าราคานั้นได้ชำระแล้วโดยพระเยซูคริสต์)
พระเจ้าจะไม่บีบบังคับผู้ใดให้ยอมรับเงื่อนไขที่จะรับความรอดโดยเด็ดขาด
แต่มนุษย์ทุกคนไม่ว่าชายหรือหญิงจะต้องตัดสินใจด้วยตัวของเขาเองว่าจะเต็มใจรับความรอดที่พระเจ้าเสนอให้หรือเปล่า?
มีเงื่อนไข "บางสิ่งบางอย่าง"
อะไรที่มนุษย์จะต้องทำเพื่อจะได้รับการอภัยโทษบาปและรับความรอด?
ในการที่พระเจ้าเข้ามาเกี่ยวข้องกับมนุษย์ พระเจ้าได้ย้ำแล้วย้ำอีกว่า
ถ้ามนุษย์ต้องการเป็นผู้ชอบธรรม เขาจะต้องดำเนินชีวิต "โดยความเชื่อ" (ดูหนังสือ ฮะบาฆูค
2:4, เฮ็บราย 10:38 , 11:6)
โอกาสที่มนุษย์จะได้รับความรอดมีอยู่เสมอทุกยุคทุกสมัย แม้กระนั้น
"ดำเนินชีวิตโดยความเชื่อ" ไม่ได้มีความหมายเพียงแค่ "เชื่อ"
ข้อเท็จจริงบางอย่างเท่านั้น "การดำเนินชีวิตโดยความเชื่อ" หมายความว่าเป็น การเชื่อฟังที่ปฏิบัติตาม
สิ่งที่พระเจ้าสั่งให้ทำด้วย
องค์ประกอบของความเชื่อมีสามประการดังนี้ (1)
ต้องยอมรับข้อเท็จจริงที่เกิดจริงตามประวัติศาสตร์ และ (2)
ต้องมีใจเปิดด้วยการตั้งใจในการไว้วางใจพระเจ้า และ (3)
น้อมยอมฟังด้วยความเต็มใจ (การเชื่อฟัง) น้ำพระทัยพระเจ้า
ยิ่งกว่านั้นเราควรจำไว้ว่าการน้อมยอมฟังมิได้หมายความว่าจะต้องมีเงื่อนไขในการปฏิบัติอย่างเดียวกัน
แต่เงื่อนไขหลักที่จำเป็นต้องมีอยู่เสมออย่างขาดไม่ได้ก็คือการเชื่อฟัง
แต่การเชื่อฟังในตัวมันเองไม่มีการตอบสนองเหมือนกันเสมอไป ตัวอย่างสมัยต้น ๆ
ตอนที่พระเจ้ามีความเกี่ยวข้องกับมนุษย์ความเชื่อที่ตามมาด้วยการเชื่อฟังมีเงื่อนไขว่าคนในสมัยนั้นจะต้องเอาสัตว์เผาถวายเป็นเครื่องบูชาบนแท่น
(เยเนซิศ 4:4) ภายหลังพระเจ้าได้ประทานพระบัญญัติของโมเซให้แก่ชนชาติยิศราเอล
(เอ็กโซโด 20)
ภายใต้บัญญัติของโมเซการถวายเครื่องบูชาประจำปีต้องดำเนินต่อไปพร้อมกับมีการถือเทศกาลวันสำคัญต่าง
ๆ ปัจจุบันเราไม่ได้อยู่ภายใต้บัญญัติของโมเซแล้ว
ไม่ว่ามนุษย์จะอยู่ภายใต้บัญญัติใด ๆ ที่บังคับในเวลานั้น
มนุษย์จะต้องมีความเชื่ออันเป็นที่ยอมรับ การเชื่อฟังตามน้ำพระทัยพระเจ้าเป็นข้อเรียกร้องที่สำคัญเสมอ
พระคัมภีร์สอนไว้ชัดเจนว่า "ความเชื่อที่ปฏิบัติตาม"
ตั้งอยู่บนพื้นฐานตามพระคำของพระเจ้า
ความเชื่อและการเชื่อฟังนั้นสำแดงออกด้วยการประพฤติตาม หนังสือเฮ็บราย
บทที่ 11 ทั้งบทได้บันทึกเนื้อหาความเชื่อที่ตามมาด้วยการเชื่อฟัง เช่น
"โดยความเชื่อเฮเบ็ลได้ถวายเครื่องบูชา" "โดยความเชื่อโนฮาเตรียมต่อนาวา"
"โดยความเชื่ออับราฮามเชื่อฟังพระเจ้า" "โดยความเชื่อโมเซไม่ยินดีในการชั่ว"
และตัวอย่างอื่น ๆ อีก ผู้ที่อ่าน เฮ็บราย 11:32-40 แค่เผิน ๆ
ก็เข้าใจว่าบรรดาวีรบุรุษแห่งความเชื่อที่บันทึกไว้ว่า การปฏิบัติตาม
ของพวกเขาได้กระทำตามโดย ความเชื่อ
ยาโกโบเขียนโดยได้รับการดลใจว่าความเชื่อที่ปราศจากการประพฤติหรือไม่ปฏิบัติตามเป็นความเชื่อที่ตายแล้ว
(ยาโกโบ 2:26)
ถ้าเช่นนั้นการที่มนุษย์จะได้รับความรอดมีสิ่งใดที่เกี่ยวข้องคือ
"ความเชื่อที่ปฏิบัติตาม"
ปัจจุบันนี้คนจะต้องทำอย่างไรเพื่อจะได้รับความรอดพ้นจากบาป?
มีคำถามที่สำคัญที่ควรถามตรงนี้คือ ประการแรก :
คนจะสามารถรับความรอดได้ที่ไหน? คำตอบคือโดยพระเยซู อัครสาวกเปาโลตอบติโมเธียวว่า
"เหตุฉะนั้นข้าพเจ้าจึงทนเอาการลำบากทุกอย่าง เพราะเห็นแก่พวกที่ถูกเลือกไว้นั้น
เพื่อเขาจะได้ความรอดซึ่งมีอยู่ในพระเยซูคริสต์ด้วยพร้อมทั้งสง่าราศีนิรันดร์"
(2ติโมเธียว 2:10) ประการที่สอง
:
เราจะได้รับพระพรฝ่ายวิญญาณจิตต์ได้ที่ไหน?
คำตอบคือพระพรฝ่ายวิญญาณจิตต์ทั้งสิ้นมีอยู่ "ในพระยูเซคริสต์" เท่านั้น เปาโลเขียนใน
เอเฟโซ 1:3 "จงถวายสรรเสริญแก่พระเจ้าผู้เป็นพระบิดาแห่งพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา
ผู้ได้ทรงโปรดประทานพรฝ่ายวิญญาณแก่เราทั้งหลายทุกประการอย่างในสวรรค์สถานโดยพระคริสต์"
ประการที่สาม : ซึ่งเป็นคำถามที่สำคัญที่สุด
เราจะเข้าส่วน
"ในพระเยซูคริสต์" ได้อย่างไร? หรือถามเสียใหม่ว่า
มนุษย์จะหลุดพ้นจากความผิดบาปของตนได้อย่างไร? "ความเชื่อที่ปฏิบัติตาม"
มีเงื่อนไขอย่างไรเพื่อจะได้รับความรอดและทำให้คน "เข้าในพระเยซูคริสต์"?
ถนนพาไปสู่บ้าน
: ความรอดโดย "ความเชื่อที่ปฏิบัติตาม"
THE ROAD HOME : SALVATION THROUGH "OBEDIENCE OF FAITH"
ทางเดียวเท่านั้นที่จะพบ ถนนที่พาไปสู่บ้าน คือสวรรค์
คือดำเนินไปตามทิศทางของพระเจ้าอย่าง ตรงไปตรงมา
มีบางสิ่งที่พระเจ้าสั่งให้มนุษย์ปฏิบัติเพื่อจะรับความรอดอันเป็นสิ่งที่พระเจ้าประทานให้โดย
"ความเชื่อที่ปฏิบัติตาม"
ตามพระคำของพระเจ้าสอนไว้ว่าในการที่คนจะได้รับความรอดนั้นจะต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขดังต่อไปนี้
ประการแรก : คนบาปจะต้อง ได้ยินได้ฟัง พระคำของพระเจ้า (โรม 10:17)
แน่นอนถ้าคนไม่เคยได้ยินได้ฟังพระคำของพระเจ้าจะไม่สามารถปฏิบัติตามพระดำรัสของพระเจ้าได้
ดังนั้นพระเจ้าสั่งว่ามนุษย์จะต้องได้ยินได้ฟังสิ่งที่พระองค์ได้ตรัสเกี่ยวกับเรื่องความรอด
ประการที่สอง :
คนบาปไม่สามารถได้รับความรอดได้ถ้าเขาไม่มีความเชื่อสิ่งที่เขาได้ยินได้ฟังดังนั้น
พระเจ้าสั่งว่าความเชื่อในพระเยซูคริสต์เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับความรอด (โยฮัน 3:16,
กิจการ 16:31) ประการที่สาม
: คนบาปไม่สามารถได้รับความรอด
ถ้าเขาไม่ยอมกลับใจเสียใหม่ จากความผิดบาปและแสวงหาการอภัยโทษ (ลูกา 13:3)
การกลับใจเสียใหม่หมายความว่าคนนั้นรู้สึกเสียใจในความบาปที่ตนได้กระทำและหยุดไม่ทำสิ่งที่ผิด
ๆ อีกต่อไป และเริ่มทำในสิ่งที่เขารู้ว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ประการที่สี่
: เพราะพระเยซูคริสต์เป็นรากฐานแห่งความรอดของเรา
พระเจ้าสั่งว่าคนบาปที่สำนึกและกลับใจแล้วต้องสารภาพความเชื่อต่อหน้าเพื่อนมนุษย์ว่าพระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า
(โรม 10:9-10)
อย่างไรก็ตามที่กล่าวมาแล้วทั้งสี่ประการไม่ได้เป็นคำสั่งของพระเจ้าทั้งหมด
คือการได้ยินได้ฟังพระคำของพระเจ้า, มีความเชื่อ, การกลับใจเสียใหม่
และการสารภาพความเชื่อ แม้ว่าสิ่งเหล่านี้สำคัญอย่างยิ่ง
แต่นั่นยังไม่สามารถลบล้างความผิดบาปของมนุษย์ได้ คำถามที่สำคัญที่สุดก็คือ
คนจะสามารถลบล้างความผิดบาปได้อย่างไร? พระคริสตธรรมคัมภีร์ใหม่ได้ตอบคำถามเอาไว้
พวกยิวได้ประหารพระเยซูบนไม้กางเขน ได้ถามคำถามต่ออัครสาวกเปโตร
เมื่อคำเทศนาของเปโตรทำให้พวกเขาสำนึกในความผิดของเขา
พวกเขาตระหนักดีว่าพวกเขาเป็นคนผิดบาปและต้องการความรอดพ้นบาปจากพระเจ้า
พวกเขาจึงถามว่า "พี่น้องเอ๋ยเราจะทำอย่างไร?" (กิจการ 2:37) คำตอบของเปโตรชัดเจนมาก
โดยตอบพวกเขาว่า "จงกลับใจเสียใหม่และ รับบัพติศมา
ในนามแห่งพระเยซูคริสต์สิ้นทุกคน เพื่อความผิดบาปของท่านจะทรงยกเสีย"
(กิจการ 2:38) เซาโลก่อนที่เขาจะได้ชื่อใหม่ว่าเป็นอัครสาวกเปาโลสำหรับชนต่างชาติ
เซาโลมีคำถามอย่างเดียวที่ต้องการทราบ ขณะที่เซาโลเดินทางไปยังเมืองดาเมเซ็กเพื่อจะไปข่มเหงคริสเตียนที่นั่นพระเยซูได้ปรากฏแก่เซาโลกลางทาง
แสงสว่างทำให้เขาตาบอด (กิจการ 22) เซาโลถามว่า "พระองค์เจ้าข้า
ข้าพเจ้าจะต้องทำประการใด? (กิจการ 22:10) อะนาเนียผู้รับใช้ของพระเจ้าได้ไปพบกับเซาโลในเมือง
อะนาเนียได้ตอบคำถามของเซาโลโดยสั่งว่า "เดี๋ยวนี้ท่านจะรอช้าอยู่ทำไม?
จงลุกขึ้นรับบัพติศมาลบล้างความผิดบาปของท่านเสีย" (กิจการ 22:16)
เพราะฉะนั้นคำตอบของพระคัมภีร์ที่ถูกต้องในการที่คนจะลบล้างความผิดบาปของตนได้อย่างไร?
คำตอบของพระคัมภีร์ก็คือ เมื่อคนได้ยินฟังพระกิตติคุณ
แล้วมีความเชื่อในคำประกาศนั้น แล้วได้กลับใจเสียใหม่จากความบาปในอดีต
ซึ่งได้สารภาพพระเยซูว่าเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า
ในการที่จะได้รับการอภัยโทษบาปก็จะต้องรับบัพติศมา (คำว่าบัพติศมาเป็นคำทับศัพท์มาจากภาษากรีก
แบพติศโซ แปลว่า จุ่มมิดน้ำหรือจุ่มในน้ำ) ยิ่งกว่านั้นบัพติศมาทำให้คนสามารถ
"เข้าส่วนในพระคริสต์" เปาโลได้บอกคริสเตียนกรุงโรมยุคแรกว่า
"ท่านทั้งหลายไม่รู้หรือว่าเราทั้งหลายที่ได้รับบัพติศมาเข้าส่วนในพระเยซูคริสต์ได้รับบัพติศมานั้นเข้าส่วนในความตายของพระองค์
เหตุฉะนั้นเราทั้งหลายก็ถูกฝังไว้กับพระองค์แล้วโดยบัพติศมา เข้าส่วนในความตายนั้น
เพื่อพระคริสต์ได้ทรงเป็นขึ้นมาจากความตายโดยเดชพระรัศมีของพระบิดาเจ้าอย่างไร
เราทั้งหลายจะได้ประพฤติตามชีวิตใหม่อย่างนั้น" (โรม 6:3-4) เปาโลได้บอกชาวฆะลาเตียว่า
"เหตุว่าคนทั้งหลายที่รับบัพติศมาเข้าสนิทกับพระคริสต์แล้ว
ก็ได้ตกแต่งตัวด้วยพระคริสต์" (ฆะลาเตีย 3:27) ไม่ต้องประหลาดใจที่อัครสาวกเปโตรกล่าวว่าบัพติศมา
"เป็นที่รอด" (1เปโตร 3:21)
ผู้เขียนพระคัมภีร์หลายคนได้พูดไว้ชัดเจนว่า
ต่อเมื่อเราสัมผัสกับพระโลหิตของพระเยซูเจ้าเท่านั้นความบาปของเราจึงจะถูกชำระได้ (เอเฟโซ
1:7-8, วิวรณ์ 5:9, โรม 5:8-9, เฮ็บราย 9:12-14)
คำถามจึงเกิดขึ้นว่าพระเยซูได้หลั่งไหลพระโลหิตของพระองค์ เมื่อใด?
คำตอบก็คือพระองค์หลั่งไหลพระโลหิตตอนที่พระองค์ถูกตรึงบนไม้กางเขนในการสิ้นพระชนม์ของพระองค์
(โยฮัน 19:31-34) คำถามต่อไปก็คือ
เราจะสัมผัสกับพระโลหิตของพระเยซูคริสต์เพื่อจะได้รับการอภัยโทษที่ไหนและอย่างไร?
เปาโลได้ตอบคำถามนี้ เมื่อท่านได้เขียนไปถึงคริสเตียนที่กรุงโรม โดย บัพติศมาเท่านั้น
เราสามารถสัมผัสกับพระโลหิตเมื่อพระเยซูสิ้นพระชนม์ (โรม 6:3-11)
ยิ่งกว่านั้นอีก ความหวังบั้นปลายว่าเราจะเป็นขึ้นจากความตายอีกและมีชีวิตนิรันดร์ในสวรรค์กับพระองค์มีการ
เชื่อมโยงกับบัพติศมาด้วย เพราะฉะนั้นถ้าเรา ไม่ได้รับบัพติศมา
แสดงว่าเรายังคงอยู่ในความบาปต่อไปและถ้าเรา ไม่ได้รับบัพติศมา
เราจะไม่มีความหวังในการเป็นขึ้นจากตายเพื่อนำเราไปสู่สวรรค์ได้
โปรดเข้าใจว่า บัพติศมา
มีความสำคัญไม่น้อยกว่าหรือมากกว่าเงื่อนไขที่พระเจ้าสั่งไว้ในการที่จะได้รับความรอดแต่เป็นสิ่งที่
สำคัญและจำเป็น ถ้าเราไม่ได้รับบัพติศมา เราก็จะไม่ได้รับความรอดเหมือนกัน
เราจะไม่รอดด้วยเหมือนกันถ้าเราไม่ยอมกลับใจเสียใหม่จากความบาป บัพติศมาเป็นคำตรัสสั่งของพระเจ้าหรือเปล่า?
คำตอบคือใช่ (กิจการ 2:38, 22:16, 1เปโตร 3:21)
บางคนมีความปรารถนาดีสอนว่าคนสามารถรับความรอดโดย "ความเชื่อเท่านั้น" "คนถูกสอนให้เพียงแต่
อธิษฐานต่อพระเยซูให้พระองค์สถิตย์ในใจ" เพื่อเขาจะได้รับความรอดพ้นจากบาป
คำสอนนี้เป็นคำสอนที่ขัดแย้งกับคำสอนที่พระคัมภีร์บ่งไว้ชัดเจนเกี่ยวกับเงื่อนไขว่าจะต้องทำอย่างไรเพื่อจะรับความรอด
ประการแรก : พระคัมภีร์สอนว่าพระเจ้าจะไม่ทรงฟังคำอธิษฐานของคนบาป (หมายความว่า
พระเจ้าไม่ยกโทษบาปด้วยการตอบคำอธิษฐาน ดูบทเพลงสรรเสริญ 34:15-16, สุภาษิต 15:29,
28:9) ดังนั้นคนบาปสามารถอธิษฐานยาวเท่าใดหรือนานเท่าใด
แต่พระเจ้าก็ยังบอกเงื่อนไขอย่างตรงไปตรงมาว่าคนจะรับความรอดอย่างไร
ความจริงดังกล่าวนี้มีความหมายถูกต้องสมบูรณ์เพราะใน โยฮัน 14:6
"พระเยซูตรัสแก่เขาว่าเราเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต
ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาเว้นไว้มาทางเรา" ประการที่สอง
:
พระคัมภีร์สอนชัดเจนว่ามนุษย์ไม่สามารถรอดพ้นจากบาปโดยอาศัย
"ความเชื่อแต่เพียงอย่างเดียว" ท่านยาโกโบได้กล่าวไว้ในจดหมายของท่านว่า
"ท่านทั้งหลายเห็นแล้วว่า ที่คนใด ๆ เป็นคนชอบธรรมนั้นก็เนื่องด้วยการประพฤติ
และไม่ใช่โดยความเชื่ออย่างเดียว" (ยาโกโบ 2:24) (เป็นที่น่าสังเกตว่า ยาโกโบ
2:24 แห่งเดียวที่บอกว่า "ความเชื่ออย่างเดียว" เป็นการผิด)
ประเด็นนี้ก็เช่นเดียวกันมีความหมายถูกต้องสมบูรณ์ตามที่ท่านยาโกโบได้กล่าวไว้ในข้อต้น
ๆ ว่า "ท่านเชื่อว่ามีพระเจ้าแต่องค์เดียวนั่นก็ดีอยู่แล้ว
พวกปีศาจทั้งปวงก็เชื่อเหมือนกันและกลัวจนตัวสั่น" (ยาโกโบ 2:19)
ไม่เป็นการเพียงพอที่จะมีความเชื่อ เพราะซาตานเองก็มีความเชื่อแต่ไม่ได้รับความรอด
(ดู 2เปโตร 2:4) เพราะฉะนั้นท่านเห็นชัดแล้วว่า
ความเชื่ออย่างเดียวเท่านั้นไม่ได้ทำให้มนุษย์รอดขณะที่เรากำลังพูดถึงความรับผิดชอบของแต่ละบุคคลเกี่ยวกับความรอดเป็นการสมควรที่ควรตั้งข้อสังเกตว่าพระคัมภีร์สอนว่ามีคนบางกลุ่มที่อยู่ในสภาพ
"รอด" บนเงื่อนไขต่อพระพักตร์พระเจ้า
ว่าสติปัญญาของเขาไม่สามารถสร้างหรือตั้งมั่นอยู่ในความเชื่อที่เชื่อฟังได้ เด็ก ๆ
ที่มีใจบริสุทธิ์ เป็นต้น ไม่ต้องรับบัพติศมาเพราะเขารอดแล้ว (มัดธาย 19:14)
รวมทั้งผู้เหล่านั้นที่มีปัญหาทางด้านสมอง (คนปัญญาอ่อน) ดูยาโกโบ 4:17)
ก็อยู่ในขอบข่ายนี้เช่นกัน
สรุป
ข่าวสารของพระคัมภีร์จากหนังสือเยเนซิศจนถึงหนังสือวิวรณ์
คือมนุษย์ทุกคนอยู่ในฐานะเป็นคนผิดบาป และต้องการความช่วยเหลือเพื่อค้นหาหนทางที่จะ
"กลับบ้าน" ให้พบ พระเจ้าไม่พอพระทัยกับการตายของคนชั่ว (ยะเอศเคล 18:23,
33:11) และพระองค์ประสงค์ให้มนุษย์ทุกคนได้รับความรอด (โยฮัน 3:16)
แต่ในการที่จะได้รับความรอดได้นั้น บุคคลนั้น ๆ จะต้องปฏิบัติตามเงื่อนไข
ตรงไปตรงมา ตามที่พระเจ้าสั่งไว้ ตามวิธีทางอย่าง ตรงไปตรงมา
ที่ทรงสั่งไว้คือ เมื่อคนได้ยินได้ฟังคำสั่งสอนของพระเจ้า, เชื่อ, กลับใจเสียใหม่
และสารภาพความเชื่อ และรับบัพติศมาเพื่อลบล้างความผิดบาป
เมื่อได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขเหล่านี้แล้วผู้นั้นได้ชื่อว่าเป็น "คริสเตียน"
ไม่มากไม่น้อยกว่านี้ พระเจ้าพระองค์เองจะทำหน้าที่ในการเพิ่มผู้เหล่านั้นที่เป็นคริสเตียนใหม่เข้าส่วนในพระกายของพระบุตรของพระองค์คือ
"คริสตจักร" บุตรของพระเจ้าที่สัตย์ซื่อในการเป็นคริสเตียนจนถึงวันตาย
(วิวรณ์ 2:10) พระเจ้าสัญญาที่จะทรงประทานมงกุฎแห่งชีวิตให้และชีวิตนิรันดร์ในสวรรค์อันเป็นเพราะความเชื่อของเขา
เพราะการเชื่อฟังของเขา และเพราะความเมตตาและพระกรุณาธิคุณของพระเจ้า (โยฮัน 14:15,
เอเฟโซ 2:8-9, โรม 1:5) เป็นความคิดที่ดีมากในการที่จะได้รับ
"ชีวิตที่ครบบริบูรณ์" (โยฮัน 10:10) และมี "สันติสุขที่เหลือจะเข้าใจได้"
(ฟิลิปปอย 4:7) ทั้งในโลกนี้ เวลานี้
และหลังจากตายจะได้รับบำเหน็จรางวัลคือบ้านซึ่งเป็นสวรรค์ตลอดกาล (โยฮัน 14:2-3)
เป็นความคิดที่น่าชื่นชมยินดีอย่างยิ่ง
ตอบคำถาม คลิกที่นี่ https://docs.google.com/forms/d/14gGpqz7_qaoIafgeoRJ5odpu3waKQxJCQMZoLpNC8_E/viewform